- คาดการณ์ว่าในปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเชียงรายจะมีมูลค่า 107,306 ล้านบาท โดยภาคบริการมีมูลค่าสูงสุด อยู่ที่ 71,289 ล้านบาท รองลงมาคือภาคเกษตร ซึ่งมีทั้งสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และประมง มีมูลค่าอยู่ที่ 25,026 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 8,043 ล้านบาท
- เฉพาะสาขาเกษตรกรรม จะพบว่าเชียงรายมีการปลูกข้าวมากที่สุด ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยในปี 2567 ข้าวนาปี มีพื้นที่การปลูก 1,242,080 ไร่ ผลผลิต 677,089 ตัน ข้าวนาปรัง พื้นที่การปลูก 365,838 ไร่ ผลผลิต 357,326 ตัน รองลงมาคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พื้นที่เพาะปลูก 125,374 ไร่ ผลผลิต 160,177 ตัน
- พื้นที่ที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกไหลผ่านมี 5 ตำบล คือ แม่สาย เวียงพางคำ เกาะช้าง เวียง และศรีดอนมูล จะพบว่า มีพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมดประมาณ 63,023.89 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุด 44,740.43 ไร่ หรือคิดเป็น 70.99% รองลงมาคือข้าวโพด 11,511.46 ไร่ คิดเป็น 18.27%
- จากผลผลิตของพืชเศรษฐกิจริมแม่สายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูก 63,023.89 ไร่ ใน 5 ตำบล อาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท โดยมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ข้าว 364,029,613.9 บาท หรือคิดเป็น 66.54% ซึ่งพื้นที่ปลูกข้าวเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะพื้นที่นาข้าวส่วนมากอยู่ติดกับแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก และยังใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกโดยตรงในการทำนาปรังอีกด้วย
- จากรายงานของ Rocket Media Lab ก่อนหน้านี้ ที่คำนวณว่า แม่น้ำกกปนเปื้อน อาจสร้างความเสียหายทางการเกษตรกว่า 3 พันล้านบาท เมื่อนำมารวมกับมูลค่าความเสียหายทางการเกษตรที่อาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อนของแม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก จะพบว่าอาจมีมูลค่าสูงถึง 3,786,162,760.9 บาทในหนึ่งปี เลยทีเดียว
ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 พบว่าน้ำกกขุ่นผิดปกติ ทำให้ชาวบ้านกว่า 700 คนใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ รวมตัวกันเดินขบวน เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ต่อมาพบว่าแม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน อันเป็นผลมาจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธจากต้นน้ำในประเทศเมียนมา
หลังจากนั้นก็พบว่า ไม่ใช่แค่แม่น้ำกกเท่านั้นที่มีการปนเปื้อน แต่แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ที่มีต้นกำเนิดในพม่า ก็ปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเช่นเดียวกัน โดยผลตรวจครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 23 – 27 มิถุนายน 2568 ปรากฏว่าแม่น้ำสาย พบปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด แม่น้ำรวก พบปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 2 จุด และแม่น้ำโขง พบปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด
ผลจากการปนเปื้อนสารพิษของแม่น้ำกกส่งผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นความห่วงกังวลต่อการใช้น้ำอุปโภคและบริโภคของประชาชน การบริโภคสัตว์น้ำและการประมง การทำการเกษตรริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งทั้งหมดนี้อาจสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อพื้นที่ริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก หากปัญหานี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน
Rocket Media Lab ชวนสำรวจข้อมูลภาคการเกษตรริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เพื่อคำนวณมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกปนเปื้อนและทำให้ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ที่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกต้องหยุดชะงัก

เศรษฐกิจเชียงรายเป็นอย่างไร
จากรายงานพื้นฐานด้านการเกษตรของจังหวัดเชียงราย โดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย คาดการณ์ว่าในปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเชียงรายจะมีมูลค่า 107,306 ล้านบาท โดยภาคบริการมีมูลค่าสูงสุด อยู่ที่ 71,289 ล้านบาท รองลงมาคือภาคเกษตร ซึ่งมีทั้งสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และประมง มีมูลค่าอยู่ที่ 25,026 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 8,043 ล้านบาท
หากจะพิจารณาเฉพาะสาขาเกษตรกรรม จะพบว่าเชียงรายมีการปลูกข้าวมากที่สุด ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยในปี 2567 ข้าวนาปี มีพื้นที่การปลูก 1,242,080 ไร่ ผลผลิต 677,089 ตัน ข้าวนาปรัง พื้นที่การปลูก 365,838 ไร่ ผลผลิต 357,326 ตัน รองลงมาคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พื้นที่เพาะปลูก 125,374 ไร่ ผลผลิต 160,177 ตัน และยางพาราพื้นที่เพาะปลูก 386,434 ไร่ ผลผลิต 80,252 ตัน นอกจากนี้ยังมีลําไย ชา สับปะรด กาแฟ มันสําปะหลังโรงงาน ลิ้นจี่ หม่อนไหม ฯลฯ

ริมแม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปลูกพืชเศรษฐกิจอะไรบ้าง
จากนั้นเมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในจังหวัดเชียงราย จะพบว่าพื้นที่ที่แม่น้ำสายไหลผ่านในจังหวัดเชียงราย มี 1 อำเภอ คือแม่สาย ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ แม่สาย เวียงพางคำ และเกาะช้าง ส่วนแม่น้ำรวก ไหลผ่าน 2 อำเภอคือ อำเภอแม่สาย ไหลผ่าน 1 ตำบลคือเกาะช้าง* ซึ่งเป็นส่วนซ้อนกันกับแม่น้ำสาย และอำเภอเชียงแสน อีก 2 ตำบล ไหลผ่านตำบลเวียงและตำบลศรีดอนมูล รวมระยะทางไม่น้อยกว่า 46.1 กิโลเมตร และมีประชากรในพื้นที่ 5 ตำบลนี้ ทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่ได้มีสัญชาติไทย รวมไม่ต่ำกว่า 45,283 ราย (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ณ มิถุนายน 2568)

จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในส่วนของพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ตำบลริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ทั้ง 5 ตำบล จะพบว่า มีพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมดประมาณ 63,023.89 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุด 44,740.43 ไร่ หรือคิดเป็น 70.99% ของพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมด รองลงมาคือข้าวโพด 11,511.46 ไร่ คิดเป็น 18.27% ยางพารา 2,456.16 ไร่ คิดเป็น 3.90% สับปะรด 1,687.26 ไร่ คิดเป็น 2.68%% มันสำปะหลัง 903.42 ไร่ คิดเป็น 1.43% ลำไย 352.56 ไร่ คิดเป็น 0.56%% และอื่นๆ เช่น เงาะ ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว มังคุด 1,372.60 ไร่ คิดเป็น 2.18%
*ในการคำนวณนี้ใช้พื้นที่การปลูกพืชเศรษฐกิจของตำบลเกาะช้างเพียงครั้งเดียว เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก
หากน้ำปนเปื้อน ภาคการเกษตรริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก จะสูญเสียมากแค่ไหน
จากรายงานผลตรวจครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 23 – 27 มิถุนายน 2568 ปรากฏว่าแม่น้ำสาย พบปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด แม่น้ำรวก พบปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 2 จุด ซึ่งการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกนั้นใช้น้ำจากแม่น้ำและการชลประทานในการทำการเกษตร
หากจะประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น จากการที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานจนส่งผลเสียหายต่อพืชผลการเกษตรทั้งหมดที่เพาะปลูกริมแม่น้ำ ทำได้โดยนำเอาพื้นที่การเพาะปลูกและผลผลิตการปลูกพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำสายและแม่น้ำกกใน 5 ตำบล มาคำนวณเพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเพาะปลูกทั้งหมด

โดย Rocket Media Lab นำเอาข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิดริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกทั้ง 5 ตำบล และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูกและขายพืชผลทางการเกษตร เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำการเกษตรริมแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งพบว่า
จากผลผลิตของพืชเศรษฐกิจริมแม่สายและแม่น้ำรวก 10 ชนิด ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูกทั้งหมด 63,023.89 ไร่ ใน 5 ตำบล ในจังหวัดเชียงรายที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกไหลผ่าน อาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท หรือประมาณ 2.19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตรของจังหวัดเชียงราย
โดยมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ข้าว 364,029,613.9 บาท หรือคิดเป็น 66.54% ซึ่งพื้นที่ปลูกข้าวเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะพื้นที่นาข้าวส่วนมากอยู่ติดกับแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก และยังใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกโดยตรงในการทำนาปรังอีกด้วย
รองลงมาข้าวโพดที่พื้นที่การปลูกส่วนใหญ่อยู่ริมแม่น้ำเช่นเดียวกัน 74,083,151.98 บาท คิดเป็น 13.54% สับปะรด 50,131,666.65 บาท คิดเป็น 9.16% ยางพารา 38,784,289.22 ล้านบาท คิดเป็น 7.09% มันสำปะหลัง 5,746,564.278 บาท คิดเป็น 1.05% ปาล์มน้ำมัน 6,528,036.564 คิดเป็น 1.19% และอื่นๆ เช่น เงาะ ลำไย มะพร้าว มังคุด รวม 7,797,629.90 บาท คิดเป็น 1.43%
*ในการคำนวณนี้ใช้พื้นที่การปลูกพืชเศรษฐกิจของตำบลเกาะช้างเพียงครั้งเดียว เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก
ไม่ใช่แค่ความเสียหายของพืชเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีความเสียหายอื่นๆ อีก
เศรษฐกิจของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกไม่ได้มีเพียงพืชเศรษฐกิจหลัก 10 ชนิด ที่ปลูกริมแม่น้ำและใช้น้ำจากแม่น้ำในการทำการเกษตรเท่านั้น แต่ยังมีการทำประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่อาจได้รับผลโดยตรงจากการปนเปื้อนของแม่สายและแม่น้ำรวกอีกด้วย
จากข้อมูลปริมาณและมูลค่าสัตว์น้ำจืดที่จับได้จากธรรมชาติเป็นรายจังหวัด ปี 2567 ของกรมประมงพบว่า เชียงรายมีปริมาณการจับสัตว์น้ำจืดในปี 2567 อยู่ที่ 1,417 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 92,763,000 บาท โดยส่วนมากเป็นปลานิล และปลาตะเพียน
และหากพิจารณาข้อมูลระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก จะพบว่าในพื้นที่ 5 ตำบลที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกไหลผ่านมีพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวม 689.17 ไร่ คิดเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยง 284 แห่ง แบ่งเป็น ต. เกาะช้าง พื้นที่ 249 ไร่ มีฟาร์ม 56 แห่ง ต.เวียงพางคำ พื้นที่ 154 ไร่ มีฟาร์ม 1 แห่ง ต.แม่สาย พื้นที่ 64.73 ไร่ มีฟาร์ม 4 แห่ง ต. เวียง พื้นที่ 67 ไร่ จำนวน 90 แห่ง และ ต. ศรีดอนมูล พื้นที่ 212.44 ไร่ จำนวน 133 แห่ง
จะเห็นได้ว่าการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็เป็นอีกภาคธุรกิจที่อาจเกิดความเสียหายจาการที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกปนเปื้อน

กก สาย รวก อาจมีมูลค่าความเสียหายทางการเกษตรรวมเกือบ 4 พันล้านบาท
จากรายงาน ของ Rocket Media Lab ก่อนหน้านี้ ที่คำนวณว่า การที่แม่น้ำกกปนเปื้อน อาจสร้างความเสียหายทางการเกษตรกว่า 3 พันล้านบาท โดยอาจสร้างความเสียหายในพื้นที่ 16 ตำบลที่แม่น้ำกกไหลผ่าน มีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 340,358.73 ไร่ ซึ่งอาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 3,239,061,808.4 บาท หรือประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตรของจังหวัดเชียงราย
ในขณะที่การปนเปื้อนของแม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกนั้น สร้างความเสียหายทางการเกษตรปีละ 547,100,952.5 บาท หรือประมาณ 2.19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตรของจังหวัดเชียงราย
ดังนั้น เมื่อรวมความเสียหายทางการเกษตรที่อาจเกิดขึ้นจากการที่แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวกปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา จะพบว่าอาจมีมูลค่าสูงถึง 3,786,162,760.9 บาทในหนึ่งปี เลยทีเดียว
ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/database-sai-ruak-river
อ้างอิง:
ข้อมูลพื้นที่ที่แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกไหลผ่าน โดย Google Earth คำนวณโดย Lanner
ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(เข้าถึงเมื่อ 16 ก.ย. 2568)
