Connect with us

Hi, what are you looking for?

future

ไตแลนด์ : เมื่อการกินนัว กินหวาน เสี่ยงสะเทือน ‘ไต’

ที่มา: The Coverage

จากการที่ประเทศไทยกำลังจะมีนโยบายจัดเก็บภาษีความเค็ม โดยคาดว่าจะถูกนำมาใช้ในปี 2568 นี้ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดแนวความคิดการจัดเก็บภาษีความเค็มก็คือแนวโน้มผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและผู้ที่เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกจากการสูญเสียแล้ว ยังเป็นภาระทางสาธารณสุขที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในอนาคตที่ประเทศไทยจะมีผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น ขณะที่โรคไตเรื้อรังนั้นเกิดในผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก

Rocket Media Lab ร่วมกับ สสส. ชวนทบทวนสถานการณ์ของโรคไตในปัจจุบันไปจนถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมข้อเสนอทางนโยบายและการนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งอาจจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไตเรื้อรังได้ 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาระทางสาธารณสุขอันหนักอึ้งของไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต

จากข้อมูลระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทุกระยะมากที่สุด 519,618 คน คิดเป็น 34.78% จากจำนวนผู้ป่วยไตเรื้อรังทุกระยะ 1,493,931 คน รองลงมาคือ ภาคกลาง 383,242 คน และภาคใต้ 209,603 คน แต่ถึงอย่างนั้น หากเทียบกับจำนวนประชากรสัญชาติไทยของแต่ละภาค จะพบว่า ภาคที่พบอัตราผู้ป่วยต่อประชากรหนึ่งแสนคนมากที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือ 3,485.51 คน รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง

แต่หากเราพิจารณาที่ผู้ป่วยระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยการฟอกไต จะพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4 และ 5 มากที่สุด นอกจากนั้น หากพิจารณาจากตัวเลขการเสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังยังพบว่าพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยในปี 2566 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 8,922 คน และมากที่สุดในทุกช่วงอายุ 

หากมองไปยังอนาคตเพื่อคาดการณ์ภาระทางสาธารณสุขที่จะเกิดขึ้นจากทั้งผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง รวมไปถึงการเสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังที่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ ก็จะพบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น 14,027,411 คน และมีจำนวนมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ 4,223,653 คน หรือคิดเป็น 30.1% 

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อพิจารณาอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง จากข้อมูลระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปี 2566 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังมากที่สุด 4,705 คน หรือมีจำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากรแสนคนอยู่ที่ 472.91 คน และหากย้อนดูสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ปี 2561-2566 จะพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ยังเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรัง 26,987 คน หรือคิดเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากรแสนคนอยู่ที่ 443.54 คน

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันทั้งจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังเนื่องด้วยมีจำนวนผู้ป้วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรังมากที่สุดมาโดยตลอด และหากมองไปยังอนาคต การที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มจะมีผู้สูงอายุมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอื่นๆ ของประเทศไทย จึงทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่หน่วยงานทางสาธารณสุขควรมุ่งเน้นการเฝ้าระวังเพื่อรับมือในประเด็นต่างๆ อาทิ การคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การเก็บข้อมูลสุขภาพ การติดตามค่าทางคลินิก การส่งต่อผู้ป่วยสู่ระบบริการสุขภาพ ตลอดจนการส่งเสริมสุขภาพเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อชะลอการเสื่อมของไต เป็นพิเศษเพื่อบรรเทาสถานการณ์ปัญหา

อะไรที่ทำให้เป็นโรคไตเรื้อรัง และทำไมโรคไตเรื้อรังถึงน่าเป็นห่วง 

โรคไตเรื้อรังเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ของไทย ถึงแม้ว่าเมื่อพูดถึงโรค NCDs เรามักจะคิดว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด เนื่องด้วยพบว่าโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่มีการสูญเสียปีสุขภาวะสูงที่สุดในปี 2564 โดยมีการสูญเสีย 3.01 ล้านปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของการสูญเสียปีสุขภาวะจากโรค NCDs ทั้งหมด รองลงมาเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีสัดส่วน 19.3% และโรคไตเรื้อรังที่สัดส่วน 11.7%

แต่เมื่อพิจารณาการขยายตัวของการสูญเสียปีสุขภาวะ จากรายงานภาวะสังคมไทย โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกลับพบว่า โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่มีการสูญเสียเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยระหว่างปี 2534 – 2564 โรคไตเรื้อรังมีการสูญเสียปีสุขภาวะเพิ่มขึ้นถึง 3.14 เท่า สูงกว่าโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจที่เพิ่มขึ้น 2 เท่า และ 1.8 เท่าตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับอัตราการเสียชีวิต

จากรายงานผลการลงทะเบียนการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไตของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย (Thailand Renal Replacement Therapy Registry Report) ในปี 2563 ซึ่งทำการศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต จากหน่วยไตเทียมต่างๆ ในประเทศไทย พบว่าสาเหตุของโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายของผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดทดแทนไตจากสถานพยาบาลที่ให้บริการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เกิดจากโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด 42.30% รองลงมาคือโรคเบาหวาน 41.50% ตามมาด้วยไม่ทราบที่มาของโรค 8.49% โรคหลอดเลือดฝอยไตอักเสบ 1.73% และโรคนิ่วในไต 1.25% 

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าหากเราจะคาดการณ์แนวโน้มของผู้เสียชีวิตจากโรคไตเรื้อรัง จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิต ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายมากที่สุดกว่า 50% นั้น น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มในอนาคตได้

จากข้อมูลผู้ป่วยเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนและมารับการรักษาต่อเนื่อง ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข  พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานรวม 3,640,410 คน โดยพบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,373,637 คน รองลงมาก็คือภาคกลางและภาคใต้ 

ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงนั้น ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือพบผู้ป่วยมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,337,605 คน จาก 7,347,670 คน ทั่วประเทศ รองลงมาก็คือภาคกลาง และภาคใต้ จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น สัมพันธ์กันกับจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะเดียวกัน จากตัวเลขนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า ในอนาคตภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะยิ่งรับภาระผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังหนักมากขึ้น จากการที่มีผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรัง สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ

ไม่เพียงแค่ภาระทางสาธารณสุขที่เกิดขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อหันกลับมาดูที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลด้านโรคไตเรื้อรังนั้น ยังพบว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีจำนวนแพทย์อายุรศาสตร์โรคไต จำนวน 641 คน ในขณะที่ในปี 2567 ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีจำนวนถึง 1,493,931 คน นั่นเท่ากับว่า แพทย์ 1 คน ต้องดูแลผู้ป่วยถึง 2,331 คน โดยภาคที่มีจำนวนแพทย์ด้านโรคไตมากที่สุดคือภาคกลาง 361 คน รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 102 คน และภาคใต้ 55 คน 

หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยและแพทย์เฉพาะทางที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในแต่ละภาค จะพบว่าภาคที่แพทย์น้อยที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แพทย์ 19.63 คนต่อผู้ป่วยแสนคน รองลงมาคือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ถึงแม้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากที่สุด แต่กลับพบว่า ไม่ได้มีจำนวนแพทย์ด้านโรคไตเยอะที่สุด สถานการณ์นี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยิ่งมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น

อีกประเด็นที่มีความสำคัญคือ ศูนย์ฟอกไตและเครื่องฟอกไต ที่ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4 และ 5 จำเป็นต้องใช้เมื่อไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เช่นเดิม สารพิษและของเสียต่างๆ จะถูกสะสมหรือคั่งค้างอยู่ในร่างกายอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว “การฟอกไต” จึงเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาเพื่อบำบัดการทำงานระบบขับของเสียของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ให้สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เนื่องจากไตสามารถทำงานได้น้อยกว่า 30% ไปแล้ว

หากอ้างอิงตัวเลขผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 4 และ 5 จากปี 2567 ซึ่งเป็นผู้ป่วยในระยะที่มีความจำเป็นต้องเริ่มมีการรักษาด้วยการฟอกไต จะพบว่า มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4 จำนวน 179,401 คน และผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 5 จำนวน 115,290 คน รวมแล้วมีผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการฟอกไตกว่า 294,691 คน

สำหรับศูนย์ฟอกไตนั้น จากข้อมูลของระบบค้นหาหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. พบหน่วยบำบัดทดแทนไต ทั้งหมด 1,039 หน่วย แบ่งได้เป็นหน่วยบำบัดทดแทนไตในประเภทปลูกถ่ายไต (28 หน่วย), ล้างไตผ่านทางช่องท้อง (284 หน่วย), ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (998 หน่วย) (ทั้งนี้ แต่ละหน่วยบริการอาจมีบริการฟอกไตมากกว่า 1 ประเภท) ซึ่งจะพบว่าจำนวนหน่วยบำบัดทดแทนไต ต่อผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฟอกไตทั่วประเทศจะได้ 283.63 คน ต่อ 1 หน่วยบำบัดทดแทนไต โดยภาคกลางมีหน่วยบำบัดทดแทนไตมากที่สุด 401 หน่วย รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ 

ส่วนเครื่องฟอกไตนั้น จากข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุขในปี 2566 พบว่า จำนวนเครื่องฟอกไตทั่วประเทศมีจำนวน 9,654 เครื่อง โดยภาคกลางมีจำนวนเครื่องฟอกไตมากที่สุด 3,940 เครื่อง รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือตามลำดับ ซึ่งหากนำจำนวนเครื่้องฟอกไตมาหารเฉลี่ยกับผู้ป่วยระยะที่ 4-5 ที่จำเป็นต้องฟอกไตรายภาคแล้ว จะพบว่าภาคที่เครื่องฟอกไตต้องรองรับผู้ป่วยมากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย 1 เครื่องต้องรองรับผู้ป่วย 47 คน รองลงมาคือภาคใต้ และภาคเหนือ ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาระทางสาธารณสุขของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่น่ากังวลทั้งในปัจจุบันและอนาคตมากขึ้นไปอีก 

ไม่เพียงแค่นั้น หากจะพิจารณาถึงความเพียงพอระหว่างผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตกับจำนวนเครื่องฟอกไตที่มี โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ว่าผู้ป่วยไตวายที่ต้องบำบัดด้วยการฟอกเลือดล้างไตจะต้องล้างวันละ 4 – 5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง หรือใน 1 วัน ตามเวลาราชการ 8:30 – 16:30 น. จะทำการฟอกไตผู้ป่วยได้เพียง 2 คนต่อวันในเวลาราชการ ต่อ 1 เครื่องฟอกไต และอาจจะสามารถฟอกได้ เพียง 4-6 คน ต่อสัปดาห์ ต่อการให้บริการ 1 เครื่อง หากมีการจัดคิวฟอกไตอย่างเป็นระบบ 

การคำนวณอัตราการให้บริการเครื่องฟอกไต หากมีการให้บริการตามเวลาราชการ 8:30 – 16:30 น. (8 ชั่วโมง) ซึ่งสถานบริการฟอกไตส่วนใหญ่มักเปิดทำการ 6 วันต่อสัปดาห์ จะเท่ากับ 1 x 2 x 6 = 12 ครั้ง ต่อสัปดาห์ สำหรับ 1 เครื่อง (ไม่นับรวมกรุงเทพฯ ที่บางโรงพยาบาลสามารถให้บริการนอกเวลาได้) จะพบว่ามีเพียงพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถรองรับความต้องการฟอกไตของผู้ป่วยไตเรื้อรังในระยะที่ 4 – 5 ได้ ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ อาจมีไม่เพียงพอ 

นอกจากนี้ หากคำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับการฟอกไต สำหรับการฟอกไตในส่วนของการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพียงอย่างเดียว ด้วยจำนวนผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง กว่า 63,352 คน ซึ่งผู้ป่วย 1 คน มีค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ 160,000-170,000 บาท แล้วนั้น จะพบว่าต้องใช้งบประมาณมากกว่า 10,136,320,000 – 10,769,840,000 บาท ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวเลขจากผู้มีสิทธิบัตรทอง ที่สามารถเข้าถึงการล้างไตด้วยการฟอกเลือดโดยเครื่องไตเทียม ได้อย่างเหมาะสมเท่านั้น แต่หากดูตัวเลขผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4 – 5 นั้น จะพบว่ามีอีกจำนวนมากที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงการรักษาที่เหมาะสม 

หากจะให้เข้าถึงการรักษาและสามารถฟอกไตได้ทุกคน เมื่อคำนวณจากผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่ 4-5 ที่จำเป็นต้องได้รับการฟอกไตในปี 2567 ซึ่งมีทั้งหมด 294,691 คน (รวมจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิบัตรทอง) อาจจะต้องใช้งบประมาณถึง 47,150,560,000- 50,097,470,000 บาท 

และหากพิจารณาในส่วนของเครื่องฟอกไต โดยอ้างอิงข้อมูลที่ว่าสถานพยาบาลนั้นเปิดบริการ 6 วัน (ไม่รวมคลินิกฟอกไต) จะเท่ากับว่าใน 1 สัปดาห์จะล้างไตให้ผู้ป่วยได้ 4 – 6 คน หรือหากคำนวณตามจำนวนเครื่องฟอกไตที่อยู่ทั้งหมดในปัจจุบันจะรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 38,616 – 57,924 คน ซึ่งอาจจะทำให้มีผู้ป่วยที่อาจจะเข้าไม่ถึงการฟอกไตอย่างสม่ำเสมอ อีกกว่า 256,075 – 236,767 คนจากจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องฟอกไตทั้งหมด 

ซึ่งหากอยากให้ผู้ป่วยในระยะที่ 4-5 เข้าถึงการฟอกไตด้วยการจัดหาเครื่องฟอกไตให้มีจำนวนเพียงพอต่อผู้ป่วย จะพบว่าต้องมีการจัดหาเครื่องฟอกไตเพิ่มอีกอย่างน้อย 54,365 เครื่อง ถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 และหากอ้างอิงราคามาตรฐานของเครื่องฟอกไตทั่วไปในราคาเครื่องละ 500,000 บาทก็จะพบว่าต้องใช้งบประมาณมากกว่า 32,009,375,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เครื่องฟอกไตที่มีประสิทธิภาพสูงอาจมีราคาสูงถึง 940,000 บาท ซึ่งก็อาจจะทำให้งบประมาณที่ต้องใช้เพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้น ความพยายามจะให้ผู้ป่วยในระยะที่ 4-5 เข้าถึงการฟอกไตได้อย่างสม่ำเสมอไม่ได้มีเพียงปัจจัยในเรื่องของเครื่องฟอกไตเท่านั้น แม้จะมีงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องฟอกไตมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องเพิ่มขึ้นตามกันด้วยก็คือบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาลอีกเช่นเดียวกัน 

จากข้อมูลทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงว่า วิกฤตของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย ไม่ได้มีเพียงแค่ประเด็นเรื่องจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาระทางสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่เพียงพอ และทำให้ผู้ป่วยไม่อาจเข้าการรักษาได้อย่างสม่ำเสมอ และดูเหมือนว่าหากจำนวนผู้ป่วยยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ยังคงมีไม่เพียงพอเช่นนี้ก็จะทำให้โรคไตเรื้อรังยากที่จะดูแลจัดการได้ในอนาคต

แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุอันจะนำพาไปสู่การเป็นโรคไตเรื้อรังได้ 

โรคเบาหวาน นอกจากพันธุกรรมแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตยังอาจส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานได้อีกด้วย โดยเฉพาะการรับประทานของหวานมากเกินไปจนเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และทำให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การบริโภคความหวานจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้ และอาจนำไปสู่การเป็นโรคไตเรื้อรังได้เช่นเดียวกัน

จากข้อมูลของสำนักคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ที่แสดงให้เห็นถึงการบริโภคน้ำตาลทางอ้อมภายในประเทศของคนไทยพบว่า ในปี 2565 คนไทยบริโภคน้ำตาล 25.4 ช้อนชา/วัน (จากการคำนวณโดยน้ำตาล 1 ช้อนชา = 4 กรัม) เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดปริมาณการบริโภคน้ำตาลไว้ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา กว่า 4 เท่า

นอกจากพฤติกรรมติดหวานของคนไทยแล้ว ยังพบว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยยังมีการ ‘ติดเค็ม’ อีกด้วย ซึ่งการกินเค็มมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรังมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็ม (Salty Snacks) ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50% ในบรรดาขนมทั้งหลายที่เราเห็นวางขายบนชั้นในร้านสะดวกซื้อ นอกจากนี้ จากข้อมูลแนวโน้มตลาดขนมขบเคี้ยวไทย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังพบว่าตลาดขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดของไทยยังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย 

โดยยอดขายขนมขบเคี้ยวในไทยในปี 2564 อยู่ที่ 45,328 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 50,400 ล้านบาทในปี 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นความนิยมในการบริโภคขนมขบเคี้ยวรสเค็มหรือเผ็ดของไทยของคนไทยที่มีมากขึ้น โดยขนมขบเคี้ยวประเภทมันฝรั่ง มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 80 – 1,080 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งมากกว่าครึ่งของปริมาณโซเดียมที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน ( 2,000 มก. หรือ 1 ช้อนชาต่อวัน) และยังเป็นประเภทของขนมขบเคี้ยวรสเค็มที่ได้รับความนิยมสูงอีกด้วย 

ไม่เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวเท่านั้นที่มีปริมาณโซเดียมสูง อีกหนึ่งอาหารที่เป็นที่นิยมของคนไทยอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็เต็มไปด้วยโซเดียมเช่นเดียวกัน โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะมีปริมาณโซเดียมแตกต่างกันไปตามรสชาตินั้นๆ ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมน้อยที่สุด คือ 700 มก.ต่อซอง ในขณะที่ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมมากที่สุด คือ มากถึง 2,360 มก. ต่อซอง ซึ่งเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำใน 1 วัน คือ 2,000 มก. 

จากข้อมูล Global Demand Rankings Instant noodle โดย World Instant Noodle Association พบว่าคนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2562 อยู่ที่ 3,710 ล้านซอง เพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านซองในปี 2567 และมากเป็นอันดับ 9 ของโลก 

ไม่เพียงแค่อาหารเท่านั้น ที่ทำให้เห็นถึงพฤติกรรมการ ‘ติดเค็ม’ ของคนไทย แต่เมื่อเราพิจารณาจากยอดขายเครื่องปรุงรส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมสูงและเป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมอาหารของไทย ที่ต้องมีการปรุงรส ไม่ว่าจะด้วยน้ำปลา ซอสประเภทต่างๆ ไปจนถึงผงปรุงรส หรือผงชูรสที่กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการประกอบอาหารของคนไทย

จากข้อมูลของมูลค่าตลาดเครื่องปรุงรสของไทย จากปี 2562 – 2568 โดย Krungthai COMPASS พบว่า มูลค่าตลาดเครื่องปรุงรสของไทยมีการเติบโตขึ้นตลอด 5 ปี โดย มูลค่าตลาดในปี 2562 อยู่ที่ 4.57 หมื่นล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 5.64 หมื่นล้านบาท ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้น กว่า 23.41% ทั้งนี้จากข้อมูลของมูลค่าตลาดเครื่องปรุงรสของไทย จากปี 2561 – 2565 โดยศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรม เครื่องปรุงรสที่มีสัดส่วนการขายในตลาดมากที่สุดคือซุปก้อน 23% รองลงมาก็คือน้ำปลา 22% ซอสถั่วเหลือง 18% ผงชูรส 12% ซอสหอยนางรม 9% สมุนไพรและเครื่องเทศ 3% และอื่นๆ อีก 13%

จากตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมสูงทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเป็นโรคไตเรื้อรังมากขึ้น การรณรงค์ให้เห็นถึงผลของการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในระยะยาวและเกินปริมาณที่พอเหมาะที่อาจจะนำไปสู่หนทางของการเป็นโรคไตเรื้อรัง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนตระหนักถึงไลฟ์สไตล์และการบริโภคที่สร้างความเสี่ยงของตนเอง ขณะเดียวกันภาครัฐก็อาจมีมาตรการอื่นๆ มาเสริมเพื่อทำให้การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมสูงอยู่ในเกณฑ์ที่พอดี หนึ่งในมาตรการที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือการเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์โซเดียมสูงบางประเภท หรือที่เรียกว่า ‘ภาษีความเค็ม’ 

ภาษีความเค็มคืออะไร เก็บจากผลิตภัณฑ์แบบไหนบ้าง

แนวคิดเบื้องต้นในการเก็บภาษีโซเดียมหรือภาษีความเค็มของไทย มีมาตั้งแต่ ปี 2562 โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ตั้งเป้าหมายให้คนไทยลดการบริโภคโซเดียมลง 30% ภายในปี 2568 กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารของตนลง และมาตรการทางภาษีอาจเป็นอีกหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนแปลงระดับความเค็มในสินค้าของตนลง

โดยเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องการให้กรมสรรพสามิตเป็นกลไกและรักษาสมดุลด้านภาษีระหว่างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมไปถึงสุขภาพของประชาชน โดยได้มีการใช้กลไกภาษีเพื่อสนับสนุนการแพทย์เชิงป้องกัน ลดการบริโภคอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโรคไตเรื้อรัง นั้นให้กรมสรรพสามิตศึกษาพิจารณากลไกภาษีโซเดียมในสินค้าบางประเภทที่ไม่อยู่ในสินค้าควบคุม โดยตั้งเป้าให้คนไทยลดบริโภคเค็มลง 30% ภายในปี 2568 

การศึกษาการจัดเก็บภาษีโซเดียมหรือภาษีความเค็มให้พิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ปริมาณโซเดียมในสินค้า ให้เริ่มจัดเก็บจากสินค้าที่ไม่มีผลกระทบกับผู้มีรายได้น้อยก่อน และพิจารณาเรื่องการจัดเก็บภาษีตามปริมาณโซเดียม โดยจะเริ่มจากกลุ่มขนมขบเคี้ยวก่อน เพราะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งการเก็บภาษีจะดูปริมาณโซเดียมต่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดและเป็นการเก็บแบบขั้นบันได 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการจัดเก็บภาษีโซเดียมอย่างเป็นรูปธรรมหรือดำเนินการเสนอร่างกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาแนวทางที่เหมาะสม

จากการสำรวจประเทศต่างๆ ทั่วโลก พบว่า มีประเทศที่มีการเก็บภาษีโซเดียม เช่น ฮังการี ซึ่งเก็บจากผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงและขนมขบเคี้ยวที่มีเกลือสูง ในอัตรา 0.8 ยูโรต่อเกลือ 1 กิโลกรัม หรือโปรตุเกส ที่มีการเก็บภาษีความเค็มในอาหารสำเร็จรูปอย่างขนมขบเคี้ยว อาหารที่มีซีเรียลเป็นส่วนประกอบ รวมถึงมันฝรั่งแห้งหรือทอด โดยอัตราการเก็บภาษีจะอยู่ที่ 0.8 ยูโรต่อเกลือ 1 กิโลกรัม โดยนอกจากประเทศไทยที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาแนวทางที่เหมาะสมแล้ว ยังพบว่าฟิลิปปินส์ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เสนอให้เก็บภาษีกับอาหารรสเค็มเช่นเดียวกัน

สสส. กับภารกิจพิชิตโรคไตเรื้อรัง 

การดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมโดย สสส. เริ่มขึ้น ในปี 2555 ผ่านการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม ถัดมาในปี 2556 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศ ‘9 Global NCD Targets’ เป้าหมายลดการบริโภคโซเดียมลง 30% ภายในปี 2568 หลังจากนั้น มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ในปี 2557 ก็ได้ประกาศให้ไทยรับรอง 9 เป้าหมายการดำเนินงานเพื่อป้องกันควบคุมสถานการณ์โรคไม่ติดต่อในระดับโลกโดย WHO ขณะเดียวกันในปี 2558 มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ก็ได้มีการริเริ่มนโยบายลดการบริโภคเกลือขึ้น

ในปี 2559 มีการประกาศยุทธศาสตร์ลดเค็มชาติ “SALTS” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ซึ่ง สสส.ได้ร่วมกับ WHO Country Cooperation Strategy (CCS) กระทรวงสาธารณสุข และองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย รวมทั้งภาคีเครือข่าย ผลักดันการลดโซเดียมอย่างจริงจัง โดยได้มีเป้าหมายลดโซเดียมลง 30% จากปัจจุบันภายใน 5 ปีข้างหน้า (2559 – 2564) 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กระทรวงสาธารณสุขก็มีการประกาศเรื่อง การแสดงฉลากสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ข้อมูลโภชนาการในรูปแบบสัญลักษณ์โภชนาการต่อผู้บริโภคในการเลือกซื้ออาหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสําคัญต่อการป้องกันปัญหาภาวะโภชนาการเกินและโรคไม่ติดต่อ (NCDs) 

ต่อมาในปี 2560 ได้มีการออก พ.ร.บ. สรรพสามิต 2560 สำหรับการจัดเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ต่างๆ และยังเป็นการริเริ่ม “SSBs Tax” หรือมาตรการด้านภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน (Sugar Sweetened Beverages Tax: SSBs Tax) โดยเป็นการเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มตามปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ 

โดยต่อมา ในปี 2561 กรมสรรพสามิตได้มีแนวคิดในการจัดเก็บภาษี ‘หวานมันเค็ม’ โดยในเบื้องต้นจะยึดรูปแบบเดียวกับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากความหวาน 

สสส. ทำงานร่วมกับกรมสรรพสามิตเพื่อผลักดันมาตรการทางภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 สสส. ได้มีการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย ซึ่งจากข้อมูลพบว่า คนไทยมีการบริโภคโซเดียม เฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน WHO ที่กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 2,000 มก./วัน ต่อมาในปี 2564 กระทรวงการคลัง ก็ประกาศแนวนโยบายในการจัดเก็บภาษีโซเดียม โดยทาง สสส. เองก็มีแคมเปญ “ลดเค็ม ลดโรค” ตามออกมา 

หลังจากนั้นในปี 2567 คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ได้จัดทำรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่องสร้างเสริมสุขภาวะ ป้องกันก่อนรักษา เสนอ ครม. โดยเสนอให้มีการปรับภาษีความหวานและความเค็ม โดยในปี 2568 กรมสรรพสามิตได้เตรียมจัดเก็บภาษีโซเดียม และศึกษาประเภทสินค้าที่เหมาะสม โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นต่อการบริโภค รวมถึงยังมีการหารือกับภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการปรับตัวเช่นเดียวกับตอนเริ่มเก็บภาษีความหวาน 

สสส. ผลักดันนโยบายภาษีโซเดียมมากว่า 13 ปี ทั้งการดำเนินมาตรการที่มิใช่ภาษีไปควบคู่กัน เพื่อส่งเสริมการลดการบริโภคโซเดียม ผ่านกิจกรรมกับภาคีเครือข่ายลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม และส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับรองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ รวมถึงยังมีการจัดงานร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย โดยได้มีการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะและการดำเนินการ อาทิ 

การจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับร้านค้า ผู้ประกอบการ และประชาชนผู้สนใจ ผ่านโครงการลดเค็ม ยกระดับเพื่อสุขภาพ เพื่อเรียนรู้วิธีการประกอบอาหารอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ ผ่านการออกแบบเมนูอาหารลดโซเดียม

การนำเสนอนวัตกรรม ต้นแบบผลิตภัณฑ์ซุปก้อนสูตรลดโซเดียมจากสารเสริมกลิ่นรส ด้วยการใช้สารทดแทนเกลือที่มาจากแหล่งธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดีที่ผู้บริโภค ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงมีโซเดียมต่ำ

การดำเนินการสร้างฐานข้อมูลการขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของประเทศไทย ซึ่งริเริ่มในปี 2563-2564 โดยข้อมูลดังกล่าวถูกใช้ในกระบวนการพัฒนานโยบายภาษีโซเดียมร่วมกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง โดย จากปี 2561 จนถึงปี 2564 แนวโน้มของผลิตภัณฑ์สูตรลดโซเดียมมีการเพิ่มขึ้นในทุกปี ทำให้ปัจจุบันผู้ผลิตบริษัทต่างๆ ทยอยออกสูตรลดโซเดียมเพิ่มมากขึ้น

การพัฒนาและผลิตเครื่องวัดความเค็มในอาหาร หรือ Salt Meter ให้มีความแม่นยำและสามารถผลิตซ้ำได้ในเชิงอุตสาหกรรม โดยศึกษารูปแบบการใช้งานเครื่องวัดความเค็มในอาหารเพื่อให้ได้รูปแบบการแสดงผลค่าความเค็มที่เข้าใจง่าย และพัฒนาเครื่องมือแบบไร้สาย ไปจนถึงออกแบบและวางโครงสร้างแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ

การจัดแคมเปญรณรงค์สื่อสารสาธารณะ ‘ลดซด ลดเค็ม ลดโรค’ และ ‘ลดปรุง ลดเค็ม ลดโรค’ โดยสื่อสารความรู้ความเข้าใจและความตระหนักในการปรับพฤติกรรมลดการบริโภคเค็ม ผ่านสื่อช่องทางต่างๆ ทั้ง Facebook: ‘ลดเค็ม ลดโรค’ แอปฯ TikTok เกม AR วิทยุชุมชน กิจกรรมแถลงข่าว รวมทั้งจัดทำสื่อแผ่นพับ การ์ตูน และวิดีโอสั้นเพื่อการประชาสัมพันธ์ 

การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเร่งรัดขับเคลื่อนมาตรการลดบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ร่วมกับองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย และองค์กร Resolve to Save Lives โดยมีหน่วยงานเข้าร่วม ได้แก่ เครือข่ายลดบริโภคเค็ม กรมควบคุมโรค และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรมสรรพสามิต และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และเครือข่ายวิชาการ เป็นต้น เพื่อผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อลดการบริโภคเกลือและโซเดียมของประเทศไทย

ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/database-kidney-disease/

คุณอาจสนใจ