Connect with us

Hi, what are you looking for?

politics

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นโยบายที่อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจากค่าออกบัตรร่วม 58-364 ล้านบาท

ภาพจาก 39422 Studio, pexels.com

วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นวันแรกที่แอปพลิเคชันทางรัฐเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ใช้งานรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยขั้นตอนการลงทะเบียนจำเป็นต้องมีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรแมงมุม EMV บัตร MRT EMV หรือบัตรแรบบิท เพื่อเข้าถึงบริการรถไฟฟ้า 20 บาทที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

Rocket Media Lab ชวนสำรวจว่าหากจะร่วมนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะต้องมีบัตรแบบไหนบ้าง และจากนโยบายครั้งนี้ ผู้โดยสารมีค่าใช้จ่ายในการออกบัตรเท่าไร 

จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล โดยจะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้ เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะ ลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน อีกทั้งยังสร้างความคุ้มค่าจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางราง ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ ลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน ลดปัญหาการจราจรติดขัด ลดการใช้พลังงานน้ำมัน ลดปริมาณมลพิษจากการจราจร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงการคลังประมาณการมูลค่าผลประโยชน์ในปีงบประมาณ 2569 ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมมูลค่า 21,812.46 ล้านบาท

โดยนโยบายนี้ คณะรัฐมนตรีได้เสนอกรอบวงเงินชดเชยรายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า ในงบประมาณประจำปี 2569 ไว้ที่ 5,512 ล้านบาท แบ่งออกเป็น

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 666 ล้านบาทจากงบประมาณแผ่นดิน ชดเชยรถไฟฟ้าสายสีแดง  189 ล้านบาท และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ 477 ล้านบาท
  • การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 2,321 ล้านบาทจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมหรือแหล่งเงินอื่นๆ ชดเชยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1,192 ล้านบาท สีม่วง 480 ล้านบาท สีเหลือง 249 ล้านบาท และสีชมพู 400 ล้านบาท
  • กรุงเทพมหานคร (กทม.) 2,525 ล้านบาท ยังไม่มีการระบุที่มาของแหล่งเงิน ชดเชยสายสีเขียว 2,503 ล้านบาท และสีทอง 22 ล้านบาท

การใช้งบประมาณในนโยบายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในประเด็นการนำเอาภาษีของประชาชนมาช่วยเหลือเฉพาะคนในกรุงเทพฯ หรือไม่ ไปจนถึงประเด็นการใช้งบประมาณในนโยบายนี้จะเพียงพอ หรือได้ประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่ ทั้งจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่แสดงความกังวลเรื่องวงเงินชดเชยส่วนต่าง เนื่องจากทางกระทรวงคมนาคมเสนอให้วงเงินชดเชย 2,525 ล้านบาท ให้ กทม. เป็นผู้ดูแลส่วนต่างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง ในขณะที่ กทม. กังวลเรื่องที่มาของแหล่งเงินที่จะนำมาชดเชยยังไม่ชัดเจน และมองว่าในการชดเชยรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีทองอาจต้องชดเชยส่วนต่างรายได้สูงถึง 11,059.64 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของที่มาของงบประมาณที่จะนำมาสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งต้องรอการพิจารณาร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … และ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. … ที่กำลังผลักดันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 เพื่อให้ทันเดทไลน์รถไฟฟ้า 20 บาท ที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568

ในขณะเดียวกัน Rocket Media Lab ก็มีการคำนวณเพื่อหาว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะต้องมีการชดเชยเท่าไร โดยใช้ข้อมูลสถิติจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ปี 2567 จากสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. (ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีแดง สีเหลือง และสีชมพู) และรายงานโครงสร้างพื้นฐานทางราง ประจำปี 2567 จากกรมขนส่งทางราง (เฉพาะตัวเลขผู้โดยสารของแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เนื่องจากในสถิติของสำนักการจราจรและขนส่งยังไม่มีข้อมูลนี้) พร้อมราคาค่าโดยสารเฉลี่ยและราคาค่าโดยสารสูงสุดของแต่ละสาย 

ซึ่งพบว่า หากใช้ราคาค่าโดยสารเฉลี่ย และหากนำมารวมกันทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง สีแดง สีเหลือง สีชมพู และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท จะใช้เงินชดเชยประมาณ 7,199,524,469 บาทต่อปี แต่หากคิดจากค่าโดยสารสูงสุด นโยบายนี้อาจใช้เงินสูงถึง 17,307,888,678 บาทต่อปี ซึ่งตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นจากที่คำนวณไว้ เนื่องจากยังไม่ได้คำนวณกรณีการเดินทางข้ามสายที่นโยบายระบุว่า ไม่ว่าจะเดินทางกี่ต่อ กี่สาย ก็จะคิดราคาที่ 20 บาท เพราะยังไม่มีข้อมูลผู้โดยสารเดินทางข้ามสาย รวมไปถึงตัวเลขผู้ใช้รถไฟฟ้าอาจจะสูงขึ้นในอนาคต และยังไม่รวมค่าต้นทุนการเดินรถอื่นๆ และค่าใช้จ่ายในการทำระบบทั้งหมด

ไม่เพียงแค่ประเด็นเรื่องงบประมาณเงินชดเชยที่ตั้งไว้ที่อาจจะไม่เพียงพอ ในการดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้ ผู้โดยสารยังจะต้องลงทะเบียนบัตรโดยสารที่ตนเองใช้ ไม่ว่าจะเป็น บัตร MRT EMV บัตรแมงมุม EMV สำหรับ MRT หรือบัตรแรบบิท สำหรับ BTS ตลอดจนบัตรเครดิตและบัตรเดบิต (เฉพาะธนาคารที่กำหนด) กับแอปฯ ทางรัฐเพื่อจะได้ใช้ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย

จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบัตรที่สามารถใช้เข้าร่วมโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทได้มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

  1. บัตร EMV Contactless คือบัตรที่สามารถชำระค่าบริการผ่านการแตะกับอุปกรณ์ชำระแบบ NFC ทำให้สามารถชำระค่าบริการได้อย่างรวดเร็ว โดยบัตร EMV Contactless แบ่งออกเป็น
  • บัตรเครดิต EMV สามารถใช้ได้ของทุกธนาคารในการสแกนเข้าใช้บริการรถไฟฟ้า
  • บัตรเดบิต EMV ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 25 ส.ค.2568) ใช้ได้เฉพาะบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ และ UOB 
  • บัตรแมงมุม EMV เป็นบัตรเดบิตที่ออกโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และธนาคารกรุงไทย ปัจจุบันอยู่ในช่วงโปรโมชั่นจนถึง 31 ต.ค. 2568 มีมูลค่าการออกบัตร 150 บาท (ปกติ 250 บาท) แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 50 บาท และเงินในบัตร 100 บาท 
  • บัตร MRT EMV เป็นบัตรเดบิตที่ออกโดยบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM สำหรับเติมเงินเพื่อใช้จ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT โดยมีมูลค่าการออกบัตร 250 บาท แบ่งออกเป็นค่าธรรมเนียมการออกบัตร 150 บาท และเงินในบัตร 100 บาท 

โดยบัตร EMV Contactless สามารถใช้ได้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู และสีแดง ในขณะที่แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงิน EMV 

  1. บัตรแรบบิท คือบัตรสำหรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกโดย BTS เพื่อใช้ในการชำระค่าบริการและค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง และสายสีชมพู โดยมีมูลค่าการออกบัตร 200 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 100 บาท และเงินในบัตร 100 บาท อย่างไรก็ตาม บัตรแรบบิท ที่จะใช้กับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท จะต้องเป็นบัตรที่เปิดฟังก์ชัน ABT (Account-Based Ticketing) โดยผูกกับ Rabbit Wallet ผ่านแอป My Rabbit หรือ LINE Pay จึงจะนำมาใช้ได้

โดยโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายสามารถใช้โดยสายข้ามสายได้ทุกสายในราคา 20 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเปลี่ยนสายภายใน 30 นาที และต้องเดินทางทุกสายถึงที่หมายภายใน 180 นาที หากเป็นการข้ามสายจากรถไฟฟ้า MRT และ BTS จำเป็นต้องใช้อีกบัตรในการแตะ ไม่สามารถใช้บัตรใบเดียวตลอดสายได้ ผู้โดยสารที่จะใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ต้องมีบัตร MRT EMV และผู้โดยสารที่จะใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ก็จะต้องมีบัตรแรบบิท ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2569 สามารถชำระผ่านระบบ QR Code แทนบัตรโดยสาร เพื่อมุ่งสู่ระบบ “ไร้บัตร” ในอนาคต 

ปี 2567 มีผู้โดยสารเข้าใช้รถไฟฟ้ารวม 518,213,450 คน-เที่ยวต่อปี (หมายถึงจำนวนผู้ใช้บริการที่เข้าและออกระบบขนส่ง นับเป็น 1 คน-เที่ยว) โดยแบ่งออกเป็นแต่ละสายดังนี้

  • รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว จำนวน 266,178,897 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จำนวน 156,108,398 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จำนวน 24,534,661 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จำนวน 24,193,675 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้า BTS สายสีทอง จำนวน 2,763,047 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้าสายสีแดง จำนวน 9,936,221 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้าสายสีชมพู จำนวน 20,196,208 คน-เที่ยวต่อปี
  • รถไฟฟ้าสายสีเหลือง จำนวน 14,302,343 คน-เที่ยวต่อปี

แม้นโยบาย 20 บาทตลอดสายจะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างเงื่อนไขให้ประชาชนจำเป็นต้องมีบัตรประเภทใดประเภทหนึ่งเพื่อใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมให้กับผู้ให้บริการในการออกบัตรโดยสารในกรณีที่ไม่ใช่บัตรเดบิตหรือเครดิต หรือหากไม่มีบัตรเครดิตหรือเดบิตก็จำต้องจ่ายเงินค่าบัตรอยู่ดี เพราะหากไม่มีบัตรที่ใช้ลงทะเบียนกับแอปพลิเคชันทางรัฐ ก็ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าในราคาปกติของแต่ละสายที่สูงถึง 45 – 62 บาทต่อเที่ยว

Rocket Media Lab จึงลองคำนวณเงินค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายจากการซื้อบัตรตามนโยบายนี้ โดยใช้สมมติฐานจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าแต่สายที่อาจจะต้องซื้อบัตรโดยสารจากค่าเฉลี่ยผู้โดยสารรายวันในปี 2567 ของรถไฟฟ้าแต่ละสาย และเนื่องด้วยไม่มีข้อมูลว่ามีผู้โดยสารที่มีบัตรรถไฟฟ้าประเภทใดอยู่แล้วบ้าง เป็นจำนวนเท่าไร หรือมีผู้โดยสารจำนวนเท่าไรที่ใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ในการคำนวณครั้งนี้จึงใช้ตัวเลขสมมติฐานสองแบบคือกรณีผู้โดยสาร 100% ซื้อบัตรใหม่ และกรณีผู้โดยสาร 50% ซื้อบัตรใหม่ 

กรณีที่ 1 หากต้องซื้อบัตร MRT EMV สำหรับใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู สีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ โดยมีมูลค่าการออกบัตร 250 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 150 บาท และเงินในบัตร 100 บาท หากใช้สมมติฐานว่า ผู้โดยสารของสายข้างต้น เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 682,935 คน และผู้โดยสาร 100% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 102,440,250 บาท หรือในกรณีผู้โดยสาร 50% ต้องซื้อบัตรใหม่  ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 51,220,125 บาท 

กรณีที่ 2 หากต้องซื้อบัตรแมงมุม EMV ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และธนาคารกรุงไทย สำหรับใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู สีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ซึ่งปัจจุบันจัดโปรโมชั่นมีมูลค่าการออกบัตร 150 บาท (จากปกติ 250 บาท) แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 50 บาท และเงินในบัตร 100 บาท หากใช้สมมติฐานว่า ผู้โดยสารของสายข้างต้น เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 682,935 คน และผู้โดยสาร 100% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 34,146,750 บาท หรือในกรณีผู้โดยสาร 50% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 17,073,375 บาท 

กรณีที่ 3 หากต้องซื้อบัตรแรบบิท สำหรับใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีทอง สีชมพู สีเหลือง มีมูลค่าการออกบัตร 200 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 100 บาท และเงินในบัตร 100 บาท หากใช้สมมติฐานว่า ผู้โดยสารของสายข้างต้น เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 831,343 คน และผู้โดยสาร 100% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 83,134,300  บาท หรือในกรณีผู้โดยสาร 50% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 41,567,150 บาท 

กรณีที่ 4 หากต้องซื้อบัตร MRT EMV และบัตรแรบบิท สำหรับใช้บริการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู สีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สีเขียว สีทอง สีเหลือง โดยมีมูลค่าการออกบัตร MRT EMV 250 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 150 บาท และเงินในบัตร 100 บาท และมูลค่าการออกบัตรแรบบิท  200 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 100 บาท และเงินในบัตร 100 บาท  หากใช้สมมติฐานว่า ผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันรวมทุกสายอยู่ที่ 1,458,947 คน และผู้โดยสาร 100% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 364,736,750 บาท หรือในกรณีผู้โดยสาร 50% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 182,368,375  บาท

กรณีที่ 5 หากต้องซื้อบัตรแมงมุม EMV และบัตรแรบบิท สำหรับใช้บริการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู สีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สีเขียว สีทอง สีเหลือง โดยมีมูลค่าการออกบัตรแมงมุม EMV ธ.กรุงไทย 150 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 50 บาท และเงินในบัตร 100 บาท และมูลค่าการออกบัตรแรบบิท 200 บาท แบ่งออกเป็นค่าออกบัตร 100 บาท และเงินในบัตร 100 บาท  หากใช้สมมติฐานว่า ผู้โดยสารเฉลี่ยรายวันรวมทุกสายอยู่ที่ 1,458,947 คน และผู้โดยสาร 100% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 218,842,050 บาท หรือในกรณีผู้โดยสาร 50% ต้องซื้อบัตรใหม่ ค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 109,421,025 บาท 

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าแม้นโยบาย 20 บาทตลอดสายจะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างเงื่อนไขให้ประชาชนจำเป็นต้องมีบัตรอย่างน้อย 1 ใบเพื่อใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดค่าออกบัตรที่ผู้โดยสารต้องจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ตั้งแต่ 58,640,525 – 364,736,750 บาท นอกจากนั้นยังพบว่าระบบการให้บริการกลับยังไม่สมบูรณ์และสร้างเงื่อนใขในการใช้บริการเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบัตรแบบเติมเงินไม่สามารถนำมาใช้ในรถไฟฟ้า 20 บาทได้ ทำให้ต้องสมัครบัตร MRT EMV หรือบัตรแรบบิทเพิ่ม หากเดินทางข้ามสายระหว่าง MRT และ BTS ต้องถือบัตร 2 ใบถึงจะสามารถเดินทางข้ามสายได้ในราคา 20 บาท การหาซื้อบัตรแมงมุม EMV ของธนาคารกรุงไทยที่สามารถซื้อได้เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงเท่านั้น และหากสั่งซื้อผ่านแอปฯ เป๋าตัง ก็จะมีค่าส่ง 42 บาท ปัจจุบันก็มีจำนวนไม่พอ เนื่องด้วยมีผู้ซื้อจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อผ่านแอปฯ กรุงไทยและเป๋าตังในตอนนี้ต้องรอกว่าจะได้บัตร และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้โดยสารจะสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายด้วยบัตรโดยสารใบเดียวได้เมื่อใด โดยการอำนวยความสะดวกเหล่านี้ควรมาพร้อมกับนโยบายที่ช่วยลดทั้งภาระค่าใช้จ่ายและภาระการจัดการของประชาชนไปพร้อมๆ กัน 

อ้างอิง :

ข้อมูลบัตรแรบบิท จาก rabbit.co.th

ข้อมูลบัตรแมงมุม EMV จาก krungthai.com

ข้อมูลบัตร MRT EMV จาก metro.bemplc.co.th/

นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

รายงานโครงสร้างพื้นฐานทางราง ประจำปี 2567 กรมขนส่งทางราง

สถิติจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร สำนักการจราจรและขนส่ง กทม.

คุณอาจสนใจ