Connect with us

Hi, what are you looking for?

environment

แม่น้ำกกปนเปื้อน อาจสร้างความเสียหายทางการเกษตรกว่า 3 พันล้านบาท

คำนวณมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการที่แม่น้ำกกปนเปื้อน

กรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ แม่น้ำกก เมื่อวันที่ 26 - 30 พฤษภาคม 2568 (ภาพจากกรมควบคุมมลพิษ)

  • ปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเชียงรายมีมูลค่า 107,306 ล้านบาท โดยภาคเกษตรเป็นอันดับสอง ซึ่งมีทั้งสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และประมง โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 25,026 ล้านบาท 
  • หากจะพิจารณาเฉพาะสาขาเกษตรกรรม จะพบว่าเชียงรายมีการปลูกข้าวมากที่สุด ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยในปี 2567 ข้าวนาปี มีพื้นที่การปลูก 1,242,080 ไร่ ผลผลิต 677,089 ตัน ข้าวนาปรัง พื้นที่การปลูก 365,838 ไร่ ผลผลิต 357,326 ตัน  
  • แม่น้ำกกไหลผ่าน 2 จังหวัด คือเชียงใหม่ มี 1 อำเภอ พื้นที่ 3 ตำบล จังหวัดเชียงราย มี 7 อำเภอ ในพื้นที่ 16 ตำบล รวมระยะทางไม่น้อยกว่า 306.05 กม.  
  • พื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในตำบลริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล มีพื้นที่ 340,358.73 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุด 186,311.47 ไร่ หรือคิดเป็น 54.74% รองลงมาคือข้าวโพด ยางพารา มันสำปะหลัง สับปะรด ลำไย ฯลฯ 
  • ผลผลิตของพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำกก 14 ชนิด ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูก 340,358.73 ไร่ ใน 19 ตำบล  อาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 3,239,061,808.4 บาท หรือประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตรของจังหวัดเชียงราย โดยมูลค่าสูงสุดยังอยู่ที่ข้าว 1,515,919,549.4 บาท หรือคิดเป็น 46.80% 

ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 พบว่าน้ำกกขุ่นผิดปกติ ทำให้ชาวบ้านกว่า 700 คนใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ รวมตัวกันเดินขบวน เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ต่อมาพบว่าแม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน อันเป็นผลมาจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธจากต้นน้ำในประเทศเมียนมา 

ผลจากการปนเปื้อนสารพิษของแม่น้ำกกส่งผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชนริมแม่น้ำกกตลอดทั้งจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นความห่วงกังวลต่อการใช้น้ำอุปโภคและบริโภคของประชาชน การบริโภคสัตว์น้ำและการประมงในแม่น้ำกก การทำการเกษตรริมแม่น้ำกก ไปจนถึงการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้อาจสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อพื้นที่ริมแม่น้ำกกทั้งหมด หากปัญหานี้ยังไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววัน 

Rocket Media Lab ชวนสำรวจข้อมูลภาคการเกษตรริมแม่น้ำกก เพื่อคำนวณมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการที่แม่น้ำกกปนเปื้อนและยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว 

เศรษฐกิจเชียงรายเป็นอย่างไร

จากรายงานพื้นฐานด้านการเกษตรของจังหวัดเชียงราย โดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย คาดการณ์ว่าในปี 2565 ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดเชียงรายจะมีมูลค่า 107,306 ล้านบาท โดยภาคบริการมีมูลค่าสูงสุด อยู่ที่ 71,289 ล้านบาท รองลงมาคือภาคเกษตร ซึ่งมีทั้งสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และประมง มีมูลค่าอยู่ที่ 25,026 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 8,043 ล้านบาท 

หากจะพิจารณาเฉพาะสาขาเกษตรกรรม จะพบว่าเชียงรายมีการปลูกข้าวมากที่สุด ทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยในปี 2567 ข้าวนาปี มีพื้นที่การปลูก 1,242,080 ไร่ ผลผลิต 677,089 ตัน ข้าวนาปรัง พื้นที่การปลูก 365,838 ไร่ ผลผลิต 357,326 ตัน  รองลงมาคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  พื้นที่เพาะปลูก 125,374 ไร่ ผลผลิต 160,177 ตัน และยางพาราพื้นที่เพาะปลูก 386,434 ไร่ ผลผลิต 80,252 ตัน นอกจากนี้ยังมีลําไย ชา สับปะรด กาแฟ มันสําปะหลังโรงงาน ลิ้นจี่ หม่อนไหม ฯลฯ 

ริมแม่น้ำกกปลูกพืชเศรษฐกิจอะไรบ้าง

จากนั้นเมื่อพิจารณาเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำกก ทั้งในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ จะพบว่าพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลผ่านในจังหวัดเชียงใหม่ มี 1 อำเภอ คือแม่อาย ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ ท่าตอน แม่นาวาง และมะลิกา ส่วนในจังหวัดเชียงราย มี 7 อำเภอ ในพื้นที่ 16 ตำบล คือ อำเภอแม่จัน มีตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่ฟ้าหลวง มีตำบลแม่สลองนอก อำเภอเมืองเชียงราย มีตำบลแม่ยาว ห้วยชมภู ดอยฮาง รอบเวียง ริมกก แม่ข้าวต้ม และเทศบาลนครเชียงรายที่ทับซ้อนหลายตำบล อำเภอเวียงชัย มีตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง มีตำบลทุ่งก่อ ดงมหาวัน อำเภอดอยหลวง มีตำบลปงน้อย หนองป่าก่อ อำเภอเชียงแสน มีตำบลโยนก บ้านแซว เวียง รวมระยะทางไม่น้อยกว่า 306.05 กิโลเมตร และมีประชากรในพื้นที่ 19 ตำบล ทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่ได้มีสัญชาติไทย รวมไม่ต่ำกว่า 182,931 ราย (ยังไม่รวมประชากรในเทศบาลนครเชียงรายที่แม่น้ำกกไหลผ่านทับซ้อนหลายตำบล) จะกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้ (ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ณ มิถุนายน 2568)

จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ ในส่วนของพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ตำบลริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล* จะพบว่า มีพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมดประมาณ 340,358.73 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุด 186,311.47 ไร่ หรือคิดเป็น 54.74% ของพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักทั้งหมดริมแม่น้ำกก รองลงมาคือข้าวโพด 70,208.7 ไร่ คิดเป็น 20.63% ยางพารา 47,896.42 ไร่ คิดเป็น 14.07% มันสำปะหลัง 14,831.16 ไร่ คิดเป็น 4.36% สับปะรด 11,529.63 คิดเป็น 3.39% ลำไย 5,892.25 ไร่ คิดเป็น 1.73% และอื่นๆ เช่น กาแฟ เงาะ ทุเรียน ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว มังคุด อ้อย คิดเป็น 1.08%

หากน้ำปนเปื้อน ภาคการเกษตรจะสูญเสียมากแค่ไหน 

จากรายงานข่าวของสำนักข่าวชายขอบเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ระบุว่าเกษตรกรต่างรู้สึกวิตกกังวลเรื่องสารตกค้างในพืชผลการเกษตร แม้จะมีรายงานว่าไม่พบการดูดซึมสารหนูในพืชก็ตาม ซึ่งการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำกกนั้นใช้น้ำในการทำการเกษตรจากทั้งแม่น้ำกก น้ำฝน และน้ำบาดาล โดยเฉพาะชาวนาที่ทำนาปรังซึ่งใช้น้ำจากคลองชลประทานที่นำน้ำมาจากแม่น้ำกก และรายงานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่พบว่า ตะกอนดินมีการปนเปื้อนสารหนูสูงมาก และไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หน้าดิน นอกจากสารหนูแล้ว ยังพบสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ตะกั่ว แมงกานีสนิกเกิลและแคดเมียม แม้ว่าในการตรวจพืชผลทางการเกษตร จะพบว่าไม่มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่พบว่ามีการปนเปื้อน ซึ่งไม่รู้ว่าหากมีการสะสมไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานจะส่งผลอย่างไร

หากจะประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น จากการที่แม่น้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานจนส่งผลเสียหายต่อพืชผลการเกษตรทั้งหมดที่เพาะปลูกริมแม่น้ำกก ทำได้โดยนำเอาพื้นที่การเพาะปลูกและผลผลิตการปลูกพืชพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำกก ใน 19 ตำบลที่แม่น้ำกกไหลผ่านทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย มาคำนวณเพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเพาะปลูกทั้งหมด 

โดย Rocket Media Lab นำเอาข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิดริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูก เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำกกทั้ง 19 ตำบล* ซึ่งพบว่า

จากผลผลิตของพืชเศรษฐกิจริมแม่น้ำกก 14 ชนิด ซึ่งมีพื้นที่การเพาะปลูก 340,358.73 ไร่ ใน 19 ตำบล ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายที่แม่น้ำกกไหลผ่าน อาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 3,239,061,808.4 บาท หรือประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉพาะภาคการเกษตรของจังหวัดเชียงราย

โดยมูลค่าสูงสุดยังอยู่ที่ข้าว 1,515,919,549.4 บาท หรือคิดเป็น 46.80% ซึ่งพื้นที่ปลูกข้าวเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เพราะพื้นที่นาข้าวส่วนมากอยู่ติดกับแม่น้ำกก และยังใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในการทำนาปรังอีกด้วย 

รองลงมาคือยางพารา 756,314,167.6 ล้านบาท คิดเป็น 23.35% ข้าวโพด 451,835,109.7 บาท คิดเป็น 13.95% สับปะรด 342,566,983 บาท คิดเป็น 10.58% มันสำปะหลัง 94,339,525.6 บาท คิดเป็น 2.91% ลำไย 45,980,938.9 บาท คิดเป็น 1.42% และอื่นๆ เช่น กาแฟ เงาะ ทุเรียน ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว มังคุด อ้อย รวม  32,105,534 บาท  คิดเป็น 0.99% 

*ในการคำนวณนี้ใช้พื้นที่การปลูกพืชเศรษฐกิจของ ต.แม่อาย แทน ต. มะลิกา เนื่องจากในฐานข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ ยังคงใช้ ต.แม่อาย อยู่ ในขณะที่ ต. มะลิกา นั้นเพิ่งจะแยกตัวจาก ต.แม่อายเมื่อปี 2563 และไม่รวมเทศบาลนครเชียงรายที่ทับซ้อนหลายตำบล 

ไม่ใช่แค่ความเสียหายของพืชเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีความเสียหายอื่นๆ อีก

ริมแม่น้ำกกไม่ได้มีเพียงพืชเศรษฐกิจหลัก 14 ชนิดตามที่ระบุข้างต้นเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่การปลูกพืชอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ชา ส้ม หม่อน และการทำเกษตรอินทรีย์ต่างๆ อีกจำนวนมาก นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการทำประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่อาจได้รับผลโดยตรงจากการปนเปื้อนของแม่น้ำกก

จากข้อมูลปริมาณและมูลค่าสัตว์น้ำจืดที่จับได้จากธรรมชาติเป็นรายจังหวัด ปี 2567 ของกรมประมงพบว่า เชียงรายม่ีปริมาณการจับสัตว์น้ำจืดในปี 2567 อยู่ที่ 1,417 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 92,763,000 บาท โดยส่วนมากเป็นปลานิล และปลาตะเพียน 

นอกจากนี้ แม่น้ำกกยังเป็นแม่น้ำที่ทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวตลอดสายที่ไหลผ่าน ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือหรือการล่องแพ โดยเริ่มจากท่าเรือสะพานแม่ฟ้าหลวงในตัวเมืองไปยังบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ที่มีกิจกรรมขี่ข้างชมวิถีชาวเขา ตลอดเส้นทางแม่น้ำกกยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น  อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก ซึ่งมีบ่อน้ำร้อนห้วยหมากเหลี่ยม น้ำตกขุนกรณ์ น้ำพุร้อนโป่งพระบาท และน้ำพุร้อนผาเสริฐ

นอกจากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เกิดขึ้นตลอดสองฟากฝั่งลำน้ำกกแล้ว ยังมีธุรกิจท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ต โรงแรม โฮมสเตย์ คาเฟ่ ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งจากข้อมูลของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในครึ่งปีแรกของปี 2568 เชียงรายกลายมาเป็นเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 3.38 ล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 25,958 ล้านบาท

ดังนั้น การปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกที่เชียงราย จึงอาจไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะแค่ในเรื่องพืชผลทางการเกษตรที่ปลูกริมฝั่งแม่น้ำน้ำกก หรือการประมงจับปลาน้ำจืดในใม่น้ำกกเท่านั้น แต่ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่พึ่งพิงรายได้จีดีพีจากภาคการบริการสูงที่สุด และเพิ่งจะกลายเป็นเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ 

นอกจากความเสียหายข้างต้นยังมีความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนที่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการอุปโภคบริโภค ทั้งค่าใช้ในการรักษาพยาบาลโรคที่อาจเกิดจากการปนเปื้อน เช่น โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหาร และหากประชาชนที่เจ็บป่วยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ก็อาจส่งผลถึงประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพอันอาจกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ภาครัฐเองก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวังและแก้ปัญหา เช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดคุณภาพน้ำ การจัดการแหล่งน้ำสะอาดสำรอง ตลอดจนค่าใช้จ่ายเพื่อบำบัดและฟื้นฟูแหล่งน้ำ รวมถึงการวางแผนเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำอีกด้วย 

การที่ปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกกยังไม่ได้รับการแก้ไขและยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้นดังผลการตรวจคุณภาพน้ำครั้งล่าสุดจากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 9 – 13 มิถุนายน 2568 ของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่วิเคราะห์ว่า ผลคุณภาพน้ำบริเวณที่ติดกับพรมแดนของเมียนมา ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จะมีค่าความขุ่นสูงผิดปกติทุกจุดตรวจวัด และพบค่าโลหะหนักสารหนูสูง ซึ่งสะท้อนถึงการทำกิจกรรมการทำเหมืองอย่างชัดเจน ยิ่งอาจจะทำให้จังหวัดเชียงรายสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น และยากเกินกว่าจะเยียวยาในระยะเวลาอันสั้น

ดูข้อมูลได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-kok-river 

อ้างอิง: 

ข้อมูลพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลผ่าน โดย Google Earth คำนวณโดย Lanner 
ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​
ข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ 
(เข้าถึงเมื่อ 23 ก.ค. 2568)

คุณอาจสนใจ