- พื้นที่อำเภอบางบาลถูกกำหนดเป็นพื้นที่รับน้ำนองในปีที่มีปริมาณน้ำมากจนอาจเกิดอุทกภัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเป็นที่ตั้งของโครงการขุดคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ วงเงินงบประมาณอยู่ที่ 25,400 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (2562-2569)
- การผันน้ำเข้าทุ่งบางบาลทำให้ปฏิทินการทำนาเปลี่ยนไป ตั้งแต่ปี 2560 ต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบการปลูกข้าวเหลื่อมเวลา เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยซ้ำซาก และเพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนกำหนดการเป็นพื้นที่รับการระบายน้ำ
- จากสถิติน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอบางบาล พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีน้ำท่วมติดต่อกันหลายเดือน โดยปี 2565 และ 2567 ท่วมนานถึง 5 เดือน
- จนถึงปัจจุบัน ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ทุ่งรับน้ำบางบาลไม่ได้รับการชดเชยจากการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเป็นพื้นที่รับน้ำแทนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกือบทุกปี ส่วนเงินที่ได้รับเป็นความช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งหมายถึงผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จะมีการพิจารณาอนุมัติเป็นครั้งคราว
- ไทยมีกฎกระทรวง 2 ฉบับให้ประชาชนได้รับชดเชยเมื่อรัฐใช้ที่ดิน-สิ่งก่อสร้างแก้น้ำท่วม คือ 1) กฎกระทรวงค่าชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม พ.ศ. 2564 2) กฎกระทรวงค่าทดแทนและค่าชดเชยความเสียหายจากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม พ.ศ. 2564
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บางบาล อำเภอหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาถูกกล่าวถึงในช่วงสิงหาคมถึงพฤศจิกายนทุกปี จากการที่เป็น ‘ทุ่งรับน้ำ’ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในปี 2568 นี้ก็เช่นกัน ปีนี้พื้นที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเผชิญกับน้ำท่วมขัง ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม โดยกรมชลประทานแจ้งว่า เนื่องจากจะเพิ่มอัตราการระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 1,200 – 1,500 ลบ.ม./วินาที จนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2568 หลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมสูง 2-3 เมตร เพจ ข่าวอยุธยา รายงานสถานการณ์ว่า บ้านเรือนของชาวบ้านริมสองแม่น้ำเจ้าพระยายังถูกน้ำท่วมสูง 2-3 เมตร บางพื้นที่ถูกน้ำท่วมนานกว่า 2-3 เดือนแล้ว ในพื้นที่อำเภอบางบาล ระดับน้ำในคลองบางบาล สูงกว่าตลิ่ง 0.30 เมตร และระดับน้ำคลองบางหลวง สูงกว่าตลิ่ง 2.42 เมตร
แม้คนนอกพื้นที่จะเข้าใจว่า น้ำท่วมเป็นเรื่องปกติของพื้นที่แถบนี้ ซึ่งเป็นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ แต่สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเช่น เพจ อยุธยา-Ayutthaya Station ซึ่งเป็นเพจสื่อสารข้อมูลภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโพสต์ข้อความว่า “อยุธยามันไม่ควรเป็นพื้นที่รับน้ำจังหวัดเดียว มันควรมีการแก้ปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงท้ายน้ำ อย่าปล่อยให้อยุธยาท่วม ปีละ 3-4 เดือน ใช้ชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำแบบนี้#คนอยุธยาคือคนเหมือนกันค่ะ น้ำลงเงิน 9000 ซ่อมบ้านไม่พอค่ะ ช่วยปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการน้ำ ที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตร และปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ต้องยัดคำว่า #เพื่อประชาชนไปด้วย พวกเราไม่ได้อยากรับน้ำ แต่เพราะเราไม่มีทางเลือกและถูกยัดเยียดให้รับน้ำค่ะ คำพูด-ทฤษฎี มากมายความหมาย = ทำอะไรไม่ได้เลย แบบนี้เรายังควรมีคำว่า #บริหารจัดการน้ำอยู่อีกไหมคะ ??? ช่วยพวกเราด้วยค่ะ ท่วม 3 เดือนแล้ว”
Rocket Media Lab สำรวจที่มาที่ไปของการกลายเป็น ‘ทุ่งรับน้ำ’ ของบางบาล ไปจนถึงการเกิดขึ้นของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ภายใต้แผนบริหารจัดการน้ำ ที่ชาวบางบาลต้องแบกรับน้ำแทนกรุงเทพฯ และพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ รวมถึง การชดเชยและช่วยเหลือจากภาครัฐ ในฐานะที่เป็นผู้เสียสละด้วยความจำยอม
บางบาลไม่ได้ท่วมเพราะภัยพิบัติ แต่เป็นผลจากการบริหารจัดการน้ำ

ในอดีตบางบาลเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่หลายครั้ง ได้แก่ ปี 2521, 2526, 2531, 2535, 2538, 2545, 2549, 2553 และ 2554 เนื่องจากมีสภาพเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง แต่การประกาศแผนการใช้พื้นที่เกษตรกรรมรับน้ำนองหรือกำหนดพื้นที่แก้มลิงในบริเวณเจ้าพระยาตอนบนและเจ้าพระยาตอนล่าง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 10 มกราคม 2555 หลังจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้บางบาลถูกกำหนดให้เป็นทุ่งรับน้ำอย่างเป็นทางการ
ความคิดที่ใช้บางบาลเป็นพื้นที่รับน้ำสามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี 2538 ซึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัดของลุ่มเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางในการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยการใช้แก้มลิง (monkey cheek) รับน้ำเป็นครั้งแรก จากนั้นรัฐบาลไทยได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ศึกษาแผนแม่บทเพื่อการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยา ในช่วงปีพ.ศ. 2539-2542 ของกรมชลประทาน โดยเนื้อหาหลักแผนแม่บทดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นอย่างสอดคล้องกับแนวคิดโครงการแก้มลิงของในหลวงรัชกาลที่ 9
จนปี 2550 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สนับสนุน ‘โครงการนำร่องการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่การเกษตรเป็นพื้นที่รับน้ำนองเพื่อการบรรเทาอุทกภัยขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตามแนวพระราชดำริ แก้มลิงพื้นที่บางบาล 1’ โครงการนี้ศึกษาและพัฒนาพื้นที่ลุ่มต่ำบางบาลเพื่อพัฒนาพื้นที่แก้มลิงรับน้ำนองบรรเทาอุทกภัยแก่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะถูกน้าไปใช้เป็นตัวแบบทุ่งรับน้ำอื่นๆ ต่อ โดยให้พื้นที่เกษตรกรรมมาเป็นพื้นที่กักเก็บยอดน้ำหลาก เพื่อลดระดับความรุนแรงของน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนตามแนวริมน้ำเจ้าพระยา
ในการศึกษากำหนดให้ พื้นที่แก้มลิงบางบาลตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ในเขตพื้นที่ปกครองของ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.อ่างทอง พื้นที่ประมาณ 55.507 ตร.กม. หรือ 34,691.94 ไร่ โดยมีขอบเขตด้านทิศเหนือติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองโผงเผง ทิศใต้ติดกับคลองบางหลวงและคลองมโนราห์ ทิศตะวันออกติดคลองบางบาล และทิศตะวันตกติดกับคลองบางบาลและแม่น้ำน้อย เป้าหมายของการมีพื้นที่รับน้ำก็เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้พื้นที่เกษตรกรรมมาเป็นพื้นที่กักเก็บยอดน้ำหลาก เพื่อลดระดับความรุนแรงของน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนตามแนวริมน้ำเจ้าพระยา ผู้จัดทำโครงการมีความเห็นว่า การนำพื้นที่เกษตรกรรมมาใช้บรรเทาอุทกภัยจะช่วยให้ระดับน้ำหลากตามแนวริมทางน้ำสายหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยามีระดับลดลงประมาณ 1 ถึง 2 เมตร จนสามารถลดความเสียหายที่ต่อชุมชนที่ตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้มีประสิทธิภาพ จากผลการศึกษาความเหมาะสมพบว่า การผันน้ำเข้ามาเก็บไว้แก้มลิงบางบาลระดับความลึก 3 เมตรเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด โดยจะจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 37.21 ล้านบาทต่อปี
หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ 2554 รัฐบาลออกแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำตามยุทธศาสตร์น้ำ 3.5 แสนล้านบาทซึ่งมีการกำหนดกรอบแนวคิดการบริหารจัดการน้ำ แบ่งพื้นที่ดำเนินการหลัก เฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 6 แผนงาน และแผนงานลุ่มน้ำอื่นอีก 4 แผนงาน แม้จะถูกยกเลิกหลังการรัฐประหารของ คสช. 2557 ในปี 2555 ทุ่งบางบาลกลายเป็นพื้นที่รับน้ำแก้มลิงอย่างเป็นทางการตามมติคณะรัฐมนตรี 10 มกราคม 2555 ที่กำหนดพื้นที่แก้มลิงในบริเวณเจ้าพระยาตอนบนและเจ้าพระยาตอนล่าง จากนั้นในปี 2559 กรมชลประทานได้นำเสนอแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างและนำข้อเสนอขององค์กรไจก้ามาปรับปรุงจนออกมาเป็น 9 แผนงาน หนึ่งในนั้นคือ แผนงานคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ประกอบด้วย งานขุดคลองระบายน้ำหลากพร้อมอาคารประกอบ ระยะทาง 22 กม. โดยกรมชลประทาน กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท
ทั้งนี้ระหว่างปี 2555 ถึง 2560 จังหวัดพระนครศรีอยุธยากลายเป็นพื้นที่เป้าหมายของแผนบรรเทาอุทกภัย

ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างเกือบทุกแผนงาน พื้นที่อำเภอบางบาลถูกกำหนดเป็นพื้นที่รองรับ 2 แผนงานหลัก คือ แผนงานพื้นที่รับน้ำนอง ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างสำหรับบรรเทาอุทกภัยขนาดกลางและขนาดใหญ่ 12 ทุ่ง ในปีที่มีปริมาณน้ำมากจนอาจเกิดอุทกภัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และแผนงานขุดคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร ที่เป็นการใช้มาตรการสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ การศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล–บางไทรดำเนินการเสร็จในปี 2559 ด้วยเหตุผลว่า เพื่อแก้ปัญหาการไหลไม่สะดวกของน้ำในบริเวณอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งลำน้ำมีลักษณะคดเคี้ยวเป็นคอขวดทำให้น้ำที่ไหลผ่านจากเขื่อนเจ้าพระยาที่มีปริมาณการไหล 2,800 ลบ.ม./วินาที ชะลอตัวไหลระบายได้ช้าลงเพียง 1,200 ลบ.ม./วินาที จึงต้องสร้างเส้นทางระบายน้ำเพิ่มอีกเส้น โดยการขุดคลองบางบาล-บางไทรให้ไหลระบายตัดตรงจากทิศเหนือลงใต้จากอำเภอบางบาลไปยังอำเภอบางไทร ซึ่งจะช่วยให้น้ำไหลเพิ่มได้อีก 1,200 ลบ.ม และเมื่อปรับปรุงการไหลระบายของแม่น้ำป่าสักด้วยแล้วจะเพียงพอที่จะรองรับน้ำปริมาณ 2,800 ลบ.ม./วินาทีที่ไหลจากเขื่อนเจ้าพระยาได้เพียงพอ
นอกจากนี้ ในพื้นที่แก้มลิงทุ่งรับน้ำนองยังมีการปรับปรุงถนนคันกั้นน้ำรอบทุ่งบางบาลที่มีความกว้างเกือบ 30,000 ไร่ ให้สูงขึ้น โดยจะทำให้สูงกว่าน้ำท่วมสูงสุดในแต่ละปี ผลที่ตามมาก็คือ คันกั้นน้ำนี้อยู่ในระดับสูงกว่าบ้านเรือนในชุมชนตามริมน้ำ จนทำให้พื้นที่ตามแนวคันกั้นน้ำถูกแยกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งในคันกั้นน้ำ กับฝั่งนอกคันกั้นน้ำ ทั้งสองฝั่งมีผู้อยู่อาศัยหลายร้อยหลังคาเรือน
น้ำท่วมปี 2560 เป็นปีแรกที่มีการใช้มาตรการทุ่งรับน้ำนอง 12 ทุ่งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างของกรมชลประทานเป็นครั้งแรก ระดับน้ำท่วมสูงจนเกือบเท่าปี 2554 ชาวบางบาลเผชิญกับน้ำท่วมถึง 6 ครั้งตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ถึงธันวาคม มวลน้ำอยู่ยาวนานถึง 5 เดือน นายชูเกียรติ บุญมี นายกเทศมนตรีเทศบาล ตำบลบางบาล กล่าวว่า สถานการณ์ในปีนี้แย่กว่าปี 2554 ทั้งที่เมื่อเปรียบเทียบอัตราการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่บางบาลก็พบว่า อัตราการปล่อยน้ำสูงสุดอยู่ที่ 2,697 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนปี 2554 อยู่ที่ 3,721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเกษตรกรที่อยู่ในทุ่งรับน้ำว่า “เรื่องสำคัญคือการแก้ปัญหาภาพรวมทั้งระบบ การบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องของการเก็บกักน้ำ ทำแก้มลิง ที่เกี่ยวพันกับการเพาะปลูกที่เหมาะสม เก็บเกี่ยวกันฤดูน้ำหลาก ขอบคุณเกษตรกรทำให้ 12 ทุ่งภาคกลาง รองรับได้เป็นแก้มลิงได้ ก็อาจจะมีท่วมบ้างในบางพื้นที่ที่มันเอ่อล้น ก็เป็นน้ำสะสมตั้งแต่กลาง ใต้ ในหลายระดับ พยายามทำให้เดือดร้อนน้อยที่สุด เมื่อเก็บกักไม่ไหว เดี๋ยวมีน้ำมาอีก ก็ต้องมีการปล่อยบ้าง อย่างไรก็ตามพื้นที่นอกคันกั้นน้ำได้รับผลกระทบ หรือบางพื้นที่ท่วมคันกั้นน้ำ รัฐบาลก็มีมาตรการดูแลเยียวยา” ในปีนี้มีการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ครัวเรือนละ 3,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี
บางบาลเผชิญกับการผันน้ำเข้าทุ่งอย่างต่อเนื่องทุกปีเมื่อลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำมาก เริ่มจากปี 2564 ซึ่งเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำสูงสุด 2,779 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งมากกว่าปี 2560 ทำให้ ระดับน้ำในพื้นที่บางบาลสูงมากกว่า 2 เมตร หลายบ้านที่ยกบ้านสูงขึ้นจากระดับน้ำท่วมในปี 2554 พบว่า ระดับน้ำสูงกว่า 10 ปีก่อน ถึง 1 เมตร ต่อมาปี 2565 ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าปี 2564 เขื่อนเจ้าพระยามีอัตราระบายสูงสุดถึง 3,180 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จนถึงปี 2568 ที่อัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่เป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย เว้นแต่ชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและอยู่นอกคันกั้นน้ำที่ประสบภัยน้ำท่วม
จะเห็นได้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ แม้ว่าอัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาจะน้อยกว่าปี 2554 แต่ระดับน้ำท่วมที่ชาวบางบาลต้องเผชิญแทบไม่แตกต่างกันเลย การถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำทำให้ชาวบางบาลต้องอยู่กับน้ำท่วม ที่สูงกว่าและนานกว่าก่อนหน้านี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารจัดการน้ำที่รัฐตั้งใจให้พื้นที่อื่นๆ ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ในเขตนิคมอุตสาหกรรมและเขตเมืองของจังหวัดอยุธยา และกรุงเทพฯ แห้งกว่า ทั้งที่ก็เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำเช่นเดียวกัน
คนบางบาลต้องทนกับน้ำท่วมนานแค่ไหน

ก่อนหน้าที่บางบาลจะถูกใช้เป็นพื้นที่รับน้ำ โดยปกติน้ำท่วมที่อำเภอบางบาล ทั้ง 16 ตำบล จะอยู่ระหว่างเดือนกันยายนถึงธันวาคมของทุกปี ระดับน้ำเฉลี่ย 30-40 เซนติเมตร โดยน้ำจะค้างทุ่งประมาณ 10-15 วัน ก่อนจะลดลง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2567 ทุกตำบลในอำเภอบางบาลเป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมนานกว่าในอดีตมาก
จากสถิติน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอบางบาล คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีน้ำท่วมติดต่อกันหลายเดือน โดยปี 2565 และ 2567 ท่วมนานถึง 5 เดือน
ปี 2565 ระยะเวลา 5 เดือน สิงหาคม-ธันวาคม พื้นที่น้ำท่วม 142,048.82 ไร่
ปี 2566 ระยะเวลา 3 เดือน กันยายน-พฤศจิกายน พื้นที่น้ำท่วม 61,244.51 ไร่
ปี 2567 ระยะเวลา 5 เดือน สิงหาคม-ธันวาคม พื้นที่น้ำท่วม 101,732.96 ไร่
ส่วนน้ำท่วมในปี 2568 ที่ท่วมมากว่า 3 เดือนแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม จนถึง 4 พฤศจิกายน ประชาชนในบางบาลยังคงเผชิญกับระดับน้ำท่วมสูง ตัวอย่างเช่น ชุมชนหมู่ที่ 5 ตำบล บ้านกุ่ม อำเภอบางบาล ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำท่วมสูง 2-3 เมตร ถนนภายในชุมชนถูกน้ำท่วมทั้งหมด ชาวบ้านคนหนึ่งเปิดเผยว่า น้ำท่วมในพื้นที่กินเวลานานกว่า 2–3 เดือนแล้ว ระดับน้ำบางช่วงสูงจนมิดหัว แม้จะมีหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาแจกถุงยังชีพบ้าง แต่การเข้าออกยังคงลำบาก ตนเองอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยผันน้ำไปทางอื่นบ้าง แบ่งๆ กันไป จะได้ไม่หนักที่เดียวแบบนี้
น้ำที่ท่วมขังเป็นระยะเวลานานและระดับน้ำท่วมที่สูงขึ้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาและชาวสวน การผันน้ำเข้าทุ่งบางบาลทำให้ปฏิทินการทำนาเปลี่ยนไป ตั้งแต่ปี 2560 จังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกประกาศ เปลี่ยนระบบการปลูกข้าวเหลื่อมเวลา เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยซ้ำซาก และเพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนกำหนดการเป็นพื้นที่รับการระบายน้ำ ซึ่งเป็น “ระยะเวลาปล่อยน้ำเข้านา เอาปลาเข้าทุ่ง” ในพื้นที่ทุ่งรับการระบายน้ำจำนวน 7 ทุ่ง โดยระบบการปลูกข้าวเหลื่อมเวลาดังนี้
- การทำนารอบที่ 2/2560 หรือรอบนาปรัง ให้ชาวนาปลูกข้าวช่วงวันที่ 1-31 ธันวาคม 2560 และเก็บเกี่ยวช่วงวันที่ 15 มีนาคม-15 เมษายน 2561
- การทำนารอบที่ 1/2561 หรือรอบนาปี ให้ชาวนาปลูกข้าวช่วงวันที่ 16 เมษายน 2561- 20 พฤษภาคม 2561 (พื้นที่ที่เริ่มปลูกวันที่ 16 เมษายนคือ พื้นที่ริมตลิ่ง นอกคันกั้นน้ำ ใกล้แหล่งน้ำ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่ใช้เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำรับการระบายน้ำ เริ่มปลูกวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นไป) เก็บเกี่ยวช่วงวันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน
ทางการจะเริ่มปล่อยน้ำเข้านา เอาปลาเข้าทุ่ง ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2561 จนถึง 30 พฤศจิกายน 2561 โดยสำนักงานประมงของจังหวัดจะจัดหาพันธุ์ปลาโตเร็ว
นอกจากนี้ยังต้องเลือกพันธุ์ข้าวตามกำหนดการปล่อยน้ำ โดยต้องเลือกพันธุ์ข้าวที่มีอายุปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 110-120 วัน
กำหนดการปล่อยน้ำเข้าพื้นที่นาส่งผลต่อวิถีการทำนา เครือข่ายชาวนาภาคกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งคำถามต่อมาตรการนี้ว่า ชาวนาที่พื้นที่นากลายเป็นทุ่งรับน้ำ มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่ ชาวนาซึ่งเช่าที่ทำนาต้องจ่ายค่าเช่าทั้งปี แต่ใช้ทำนาจริงได้แค่ 200 วัน วันที่เหลือของปีกลายเป็นทุ่งรับน้ำ และมีคำถามว่าชาวนาในเขตนอกคันกั้นน้ำเหล่านี้เต็มใจหรือไม่ และมีค่าชดเชยให้กับการเป็นทุ่งรับน้ำหรือไม่ เมื่อกรมชลประทานผันน้ำเข้าทุ่งตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน หลังน้ำลดจึงจะได้ทำนาปรัง เกี่ยวข้าวหลังจากเดือนเมษายน ซึ่งหลังจากนี้แทบไม่มีเวลาทำนาปี เพราะไม่สามารถกำจัดวัชพืชด้วยการเผาตอซังข้าวได้ การใช้วิธีอื่นต้องใช้เวลานานเกิน 1 เดือน ส่งผลให้ทำนาปีไม่ทันช่วงเวลาผันน้ำท่วมทุ่ง ขณะที่ฐิติวัฒน์ กลีบมาลัย ตัวแทนกล่าวว่า “ที่ผ่านมาชาวนารับน้ำแทนพื้นที่กรุงเทพฯ แต่พอน้ำลด ชาวนากลับไม่ได้ใช้น้ำทำนา เพราะต้องเผื่อเอาน้ำไปทำน้ำประปาให้คนในเมืองก่อน แล้วเดี๋ยวต้องเอาน้ำไปดันน้ำทะเลหนุนสูง แล้วก็มีคำสั่งให้ชาวนาต้องชะลอทำนาไปก่อน กว่าจะทำนาได้ต้องรอน้ำทะเลหยุดหนุน” ชาวนาต้องประสบปัญหาเช่นนี้ทุกปี โดยที่ไม่มีมาตรการใดๆ จากภาครัฐ
นอกจากนี้ การปรับช่วงเวลาการปลูกพืชผลทางการเกษตรเพื่อให้เก็บเกี่ยวก่อนจะมีการผันน้ำเข้ามา ซึ่งใช้ช่วงเวลาการปลูกข้าวเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตามในพื้นที่ อ. บางบาล ไม่ได้มีแค่การปลูกข้าวเท่านั้น ยังมีการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งมีระยะเวลาในการปลูกและเก็บเกี่ยวไม่เท่ากันกับข้าว จึงทำให้ยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนที่จะมีการผันน้ำเข้ามาได้ นอกจากนี้พืชเศรษฐกิจบางชนิดยังเป็นพืชยืนต้น ที่แม้จะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนจะมีการผันน้ำเข้ามา แต่ต้นก็ยังได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน โดยอ.บางบาลยังมีการปลูกพืชอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผลหรือไม้ยืนต้น ซึ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนเวลาเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวได้เช่นเดียวกับข้าว การกลายเป็นพื้นที่รับน้ำทำให้พื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น สวนกล้วยหอม ซึ่งในปี 2564 พื้นที่ปลูกกล้วยหอมที่อยู่บริเวณคลองบางบาลถูกน้ำท่วมเสียหายหลายพันต้น
เมื่อพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องพบว่า การกำหนดทุ่งบางบาลเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ ของกรมชลประทานให้สามารถผันน้ำเข้าท่วมทรัพย์สิน บ้านเรือน ที่นา สวนของประชาชน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 ตามนโยบายตามมาตรา 4 ซึ่งไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการชดเชยหรือการเยียวยา
จะเห็นได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนบางบาลหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพักอาศัยในบ้านของตนเอง การประกอบอาชีพ การสัญจร จนอาจกล่าวได้ว่า คนบางบาลแลกวิถีชีวิตปกติของตนเองเพื่อให้คนที่อยู่ปลายน้ำสามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ
คนบางบาลจะได้อะไรจากโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรฯ ราคา 25,400 ล้านบาท

นอกจากแผนงานพื้นที่รับน้ำนอง ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างสำหรับบรรเทาอุทกภัยขนาดกลางและขนาดใหญ่ 12 ทุ่ง และพื้นที่บางบาลยังเป็นที่ตั้งของแผนงานขุดคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทรด้วย ตามมาตรการสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ในแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานก่อสร้างโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2562-2566) ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 21,000 ล้านบาท ในส่วนที่มีการดำเนินการในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาประกอบด้วย 4 โครงการ คือ 1.การเสริมคันกั้นน้ำเจ้าพระยาความยาว 54 กิโลเมตร 2. ก่อสร้างประตูระบายน้ำ 2 แห่ง คือ (1) ประตูระบายน้ำคลองบางหลวง (2) ประตูระบายน้ำคลองบางบาล 3.คลองระบายน้ำบางบาล-บางไทร 22.5 กิโลเมตร และ 4. เขื่อนพระนครศรีอยุธยา
โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรนี้ก่อสร้างเริ่มต้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางบาล ตัดตรงผ่านทุ่งบางบาลถึงตำบลสนามชัย อำเภอบางไทร โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาและพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่างได้เฉลี่ย 1.9 – 2.5 ล้านไร่ต่อปี และลดระดับความลึกของน้ำท่วม กรมชลประทาน ให้เหตุผลว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงผ่านตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาที่มีลักษณะเป็นคอขวดให้สามารถระบายน้ำเพิ่มจาก 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็น 2,930 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประชาชนในสามอำเภอได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางบาล และ อำเภอบางไทร ต้องถูกเวนคืนที่ดิน
ต่อมามีการขยายระยะเวลาและเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณ เป็นวงเงิน 25,400 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (2562-2569) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567
ทั้งนี้ เมื่อสำรวจเอกสารรายงานงบประมาณปี 2560-2569 ของ สำนักงบประมาณ พบว่าแต่ละปีที่การของบประมาณดังต่อไปนี้
- ปี 2560 จำนวน 20 ล้านบาท
- ปี 2562 จำนวน 250 ล้านบาท
- ปี 2563 จำนวน 1,866.2 ล้านบาท
- ปี 2564 จำนวน 2,159.25 ล้านบาท
- ปี 2565 จำนวน 2,561.6 ล้านบาท
- ปี 2566 จำนวน 3,568.3 ล้านบาท
- ปี 2567 จำนวน 2,899.5 ล้านบาท
- ปี 2568 จำนวน 3,331.48 ล้านบาท
- ปี 2569 จำนวน 1,510.25 ล้านบาท
โดยปัจจุบันมีการของบประมาณไปแล้ว รวม 18,166.73 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในการก่อสร้างมีการแบ่งสัญญาก่อสร้างออกเป็น 7 สัญญา ดังนี้
- สัญญาที่ 1 ความยาว 3.7 ก.ม. ดำเนินการโดย บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น มูลค่า 2,758.08 ล้านบาท
- สัญญาที่ 2 ความยาว 3.9 ก.ม. ดำเนินการโดย บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ มูลค่า 2,795.29 ล้านบาท
- สัญญาที่ 3 ความยาว 5.4 ก.ม. ดำเนินการโดย บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น มูลค่า 3,669.03 ล้านบาท
- สัญญาที่ 4 ความยาว 3.5 ก.ม. ดำเนินการโดย บมจ. ช.การช่าง มูลค่า 3,280.00 ล้านบาท
- สัญญาที่ 5 ความยาว 0.5 ก.ม. ดำเนินการโดย บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ มูลค่า 1,129.74 ล้านบาท
- สัญญาที่ 6 ความยาว 3.0 ก.ม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า ยูซีเอ็น มูลค่า 3,280.00 ล้านบาท
- สัญญาที่ 7 ความยาว 0.6 ก.ม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า ยู-เอเอสไอ มูลค่า 849.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ กิจการร่วมค้า ยูซีเอ็น และ กิจการร่วมค้า ยู-เอเอสไอ มีบมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เป็นหุ้นส่วน
จนถึงสิงหาคม 2568 โครงการดำเนินการเสร็จแล้ว 80% สำหรับปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่บางบาล โครงการนี้ถูกมองว่าจะช่วยแก้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอบางบาลได้ จากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี กรมชลประทาน รวมทั้งตัวแทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่กล่าวว่า โครงการนี้จะทำให้ ทุ่งบางบาลพ้นจากน้ำท่วมซ้ำซากได้ถึง 70 % อย่างไรก็ตามมีคำถามจากประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่ว่า น้ำที่ปลายทางคลองบางไทรมีแผนการบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งคำถามนี้มีอยู่ทุกครั้งระหว่างทำประชาพิจารณ์ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทางการ จนกังวลว่าน้ำอาจจะไปติดคอขวดที่ปลายทาง และแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้
คนบางบาลประสบภัยเป็นประจำ แต่ได้เงินช่วยเหลือเป็นครั้งคราว

จนถึงปัจจุบัน ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ทุ่งรับน้ำบางบาลไม่ได้รับการชดเชยจากการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเป็นพื้นที่รับน้ำแทนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกือบทุกปี ส่วนเงินที่ได้รับเป็นความช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติ ซึ่งหมายถึงผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จะมีการพิจารณาอนุมัติเป็นครั้งคราว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยประชาชนที่ประสบภัยพิบัติจะได้รับเงินเยียวยามาจาก 4 ช่องทางหลัก ได้แก่
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะตั้งงบเพื่อสำรองจ่ายกรณีมีเหตุสาธารณภัยเกิดขึ้น หรือกรณีการป้องกันและยับยั้งก่อนเกิดสาธารณภัย อยู่ภายใต้งบกลาง
สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ในปีงบประมาณ 2568 องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อบจ.) ตั้งเงินสำรองจ่ายกรณีที่มีเหตุสาธารณภัยเกิดขึ้น หรือกรณีการป้องกันและยับยั้งก่อนเกิดสาธารณภัย หรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัย หรือกรณีฉุกเฉินเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 20,241,775 บาท ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอบางบาล ซึ่งมี 4 อบต.และ 2 เทศบาลตำบล ตั้งงบ เงินสำรองจ่ายเพื่อจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีเหตุสาธารณภัยเกิดขึ้นหรือกรณี การป้องกันและยับยั้งก่อนเกิดสาธารณภัยหรือคาดว่าจะเกิด สาธารณภัยหรือกรณีฉุกเฉินเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นส่วนรวม โดยงบประมาณในส่วนนนี้ของแต่ละ อบต. หรีอแต่ละเทศบาลตั้งงบไว้ไม่เท่ากัน เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณองค์กรละ 200,000 บาท
- เงินทดรองราชการสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินโดยเป็นไปตาม หลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามความหมายแห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เจตนารมณ์ ของระเบียบนี้ก็ “เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ไม่ได้มุ่งหมายชดใช้ค่าเสียหาย ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่สามารถสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือสาธารณูปโภคที่ถาวรหรือก่อสร้างใหม่ได้” ครอบคลุมความช่วยเหลือ 5 ด้าน คือ ด้านการดำรงชีพ ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการเกษตร ด้านบรรเทาสาธารณภัย
หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงิน แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กระทรวงและกรม และจังหวัด
กระทรวงและกรม
- สำนักนายกรัฐมนตรี 100 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีอนุมัติ
- กระทรวงกลาโหม 50 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอนุมัติ
- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 10 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอนุมัติ
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 50 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอนุมัติ
- กระทรวงมหาดไทย 50 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอนุมัติ
- กระทรวงสาธารณสุข 10 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอนุมัติ
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 50 ล้านบาท อธิบดีกรมฯ อนุมัติ
จังหวัด
- สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แห่งละ 20 ล้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติ
- ในระดับอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติตามความจำเป็น ไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้ ในปี 2568 คณะรัฐมนตรีมี มติเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ปรับเพิ่มวงเงินในบางหน่วยงาน ดังนี้
- กระทรวงกลาโหม เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่มเป็นเป็น 100 ล้านบาท
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท
- สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเพิ่มเป็น แห่งละ 50 ล้านบาท
- และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการของ ปภ.จังหวัด แก่อำเภอหรือกิ่งอำเภอ ตามความจำเป็นและเหมาะสม แต่ละแห่งต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท
เมื่อพิจารณารายละเอียดอัตราจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับเงินช่วยเหลือโดยตรงจากเงินด้านการดำรงชีพและด้านการเกษตร ตามหลักเกณฑ์ฯ ส่วนที่เหลือเป็นเงินสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการกับสาธารณสมบัติ เช่น จ้างเหมาก้าจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่อุดช่องทางน้ำ
ตัวอย่าง เงินช่วยเหลือด้านดำรงชีพและด้านการเกษตร เช่น
- ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพเบื้องต้น กรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง เท่าที่จ่ายจริงครอบครัวละไม่เกิน 3,800 บาท
- ค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำ ซึ่งผู้ประสบภัยพิบัติเป็นเจ้าของที่ได้รับความเสียหาย เท่าที่จ่ายจริงหลังละไม่เกิน 49,500 บาท
- ค่าวัสดุซ่อมแซมหรือสร้างยุ้งข้าว โรงเรือนสำหรับเก็บพืชผลและคอกสัตว์ที่ได้รับความเสียหาย เท่าที่จ่ายจริงครอบครัวละไม่เกิน 5,700 บาท
- กรณีที่ผู้ประสบภัยพิบัติเช่าบ้านเรือนของผู้อื่น และบ้านเช่าเสียหายจากภัยพิบัติทั้งหลังหรือเสียหายบางส่วนจนอยู่อาศัยไม่ได้ ให้ช่วยเหลือเป็นค่าเช่าบ้านแก่ผู้ประสบภัยพิบัติเท่าที่จ่ายจริงในอัตราครอบครัวละไม่เกินเดือนละ 1,800 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 2 เดือน
- ค่าดัดแปลงสถานที่สำหรับเป็นที่พักชั่วคราว เท่าที่จ่ายจริงครอบครัวละไม่เกิน 2,500 บาท หรือค่าผ้าใบหรือผ้าพลาสติกหรือวัสดุอื่น ๆ สำหรับกันแดดกันฝน เท่าที่จ่ายจริง ครอบครัวละไม่เกิน 1,000 บาท
- ค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ และหรือเงินทุนสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติที่เป็นอาชีพหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวของผู้ประสบภัยพิบัติ เท่าที่จ่ายจริงครอบครัวละไม่เกิน 11,400 บาท
- ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่พืชตาย หรือเสียหาย ตามจำนวนพื้นที่ทำการเกษตรจริงที่ได้รับความเสียหาย ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ กรณีพืชอายุสั้นเสียหาย ให้ช่วยเหลือเฉพาะรายการค่าวัสดุ กรณีไม้ผล ไม้ยืนต้นเสียหาย ให้ช่วยเหลือเฉพาะรายการค่าวัสดุและต้นทุนเฉลี่ยก่อนให้ผลผลิต
- ค่าใช้จ่ายในการขุดลอก ขนย้ายหิน ดิน ทราย ไม้ โคลน รวมทั้งซากวัสดุที่ทับถมพื้นที่แปลงเกษตรกรรม เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เพื่อการเพาะปลูกพืชได้ในขนาดพื้นที่ไม่เกิน 5 ไร่
สำหรับน้ำท่วมปี 2568 กรมบัญชีกลางอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพิ่มเติมอีก 30 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568
- งบฯ กลาง สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เบิกจ่าย ตามวงเงินงบประมาณ โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การจ่ายเงินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในแต่ละครั้งตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ตามแต่ละครัวเรือน
ฤดูฝนปี 2565 จำนวน 7,449.00 ล้านบาท
ฤดูฝนปี 2567 จำนวน 3,827 ล้านบาท
ฤดูฝนปี 2568 จำนวน 6,169.99 ล้านบาท
ในปี 2565-2566 มีการแบ่งเป็นอัตราการจ่ายขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง 1) ไม่เกิน 30 วัน จะได้รับเงินช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท 2) เกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ได้รับเงินช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 7,000 บาท 3) เกินกว่า 60 วัน ขึ้นไป ครัวเรือนละ 9,000 บาท ต่อมาในปี 2567 เปลี่ยนเป็นการช่วยเหลืออัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000 บาท
ทั้งนี้ ประชาชนจะได้เงินก็ต่อเมื่อมีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ก่อน
- เงินบริจาคผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกองทุนของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พ.ศ. 2542 ที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการศพ ซ่อมสร้างที่อยู่อาศัย ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันหรือบรรเทาความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น จนถึงกุมภาพันธ์ 2567 ยอดเงินอยู่ที่ 605,891,533.90 บาท
ประชาชนจะได้รับเงินช่วยเหลือ ก็ต่อเมื่อ ตนเองหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องยื่นคำขอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนนี้มีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากคณะกรรมการอนุมัติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะสั่งจ่ายเงินไปยังสำนักงานจังหวัดเพื่อส่งให้แก่ผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือ
รัฐจะจ่ายเงินช่วยเหลือก็ต่อเมื่อมีการประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ทุ่งรับน้ำบางบาลเป็นโครงการที่มีการศึกษาและวางแผนไว้ล่วงหน้า ซึ่งสามารถคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ ประชาชนที่อยู่อาศัยในบางบาลไม่ได้ประสบภัยพิบัติที่เกิดขึ้นฉุกเฉินเป็นครั้งคราว แต่ต้องอยู่กับสภาพน้ำท่วมสูง ขังนานปีละหลายเดือน นับตั้งแต่ที่ถูกประกาศให้เป็นทุ่งรับน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ และพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ หากย้อนกลับไปดูผลการศึกษาของโครงการนำร่องฯ พบว่า มีการกล่าวถึงการชดเชยความเสียหายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการแก้มลิงบางบาลหลายร้อยครัวเรือน ทั้งที่อยู่อาศัย เกษตรกรรมและการประกอบการอื่นๆ โครงการฯ จึงควรลดผลกระทบต่อประชาชนอย่างเต็มที่ด้วยมาตรการสำคัญคือ การจัดให้มีการจ่ายค่าชดเชยอย่างเป็นธรรม ผลการศึกษาจากโครงการนำร่องฯ แก้มลิงบางบาล เสนอว่า ควรจะจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 37.21 ล้านบาทต่อปี
ไทยมีกฎหมายกำหนดค่าชดเชยความเสียหาย แต่ไม่ใช้?
แนวทางการจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำเคยถูกกล่าวถึงไว้ในรายงานความก้าวหน้าของคณะทำงานจัดทำแผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ ในเขตเจ้าพระยาตอนบน/เจ้าพระยาตอนล่าง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555
ในรายงานระบุว่า มีการแต่งตั้งคณะทำงานกำหนดมาตรการชดเชยความเสียหาย และมีการนำเสนอข้อสรุปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การชดเชยและการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ ให้ที่ประชุมพิจารณา 2 แนวทางคือ แนวทางที่ 1 น้ำจะมาหรือไม่มาก็ต้องจ่าย เมื่อประกาศเป็นเขตพื้นที่รับน้ำนอง แนวทางที่ 2 จ่ายต่อเมื่อน้ำเข้าไปในพื้นที่รับน้ำ ซึ่งที่ประชุมเลือก แนวทางที่ 1 ส่วนหลักเกณฑ์ความเสียหาย
ในกรณีที่เกษตรต้องงดปลูกพืชในช่วงเวลา 3 เดือนเพื่อใช้พื้นที่ในการรับน้ำนอง จะได้รับค่าตอบแทนเสมือนหนึ่งเป็นค่าเช่า จะได้ค่าตอบแทน = ค่าเช่าเฉลี่ย x จำนวนพื้นที่ เมื่อคำนวณแล้วจะได้ประมาณ 625 บาท/ไร่ หากเกษตรกรในพื้นที่เขตประกาศเป็นพื้นที่รับน้ำนอง ที่มีการเพาะปลูกพืชข้าว ตามแผนที่กำหนด (2 รอบการเพาะปลูก) ได้รับความเสียหายเนื่องจากน้ำท่วมหรือขาดน้ำ จะได้รับค่าช่วยเหลือกรณีพิเศษ ดังนี้ ค่าช่วยเหลือกรณีพิเศษ = (ต้นทุนการผลิต + ค่าเสียโอกาส (20% ต้นทุนการผลิต) x จำนวนพื้นที่เสียหาย เมื่อคำนวณแล้วจะได้ประมาณ 5,557 บาท/ไร่ อย่างไรก็ตามแนวทางนี้ไม่ถูกกล่าวถึงหรือนำไปปฏิบัติต่อแต่อย่างใด
เมื่อพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องพบว่า มีการกล่าวถึงมาตรการชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 66 และมาตรา 67 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ แต่ต้องชดเชยความเสียหายแก่บุคคลนั้นด้วย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกโดยนายกรัฐมนตรี
10 กันยายน 2564 มีการประกาศกฎกระทรวง 2 ฉบับให้ประชาชนได้รับชดเชยเมื่อรัฐใช้ที่ดิน-สิ่งก่อสร้างแก้น้ำท่วมดังนี้ 1) กฎกระทรวงค่าชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม พ.ศ. 2564 2) กฎกระทรวงค่าทดแทนและค่าชดเชยความเสียหายจากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม พ.ศ. 2564
โดยสรุปกฎกระทรวงทั้งสองฉบับนิยามว่า ค่าชดเชยความเสียหายหมายถึง เงินที่จ่ายให้แก่ผู้เสียหายเพื่อเป็นค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของบุคคลนั้นอันเนื่องมาจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม ซึ่งรวมถึงการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างเพื่อก่อสร้าง วางสิ่งของ สูบน้ำ หรือระบายน้ำผ่านหรือเข้าไปในที่ดินหรือติดตั้งอุปกรณ์ใดๆ กระบวนการชดเชยค่าเสียหายเริ่มจากการที่มีความเสียหายเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จะแจ้งต่อหัวหน้างานผู้รับผิดชอบ จากนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณา ก่อนที่จะมีคำสั่งให้จ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการลุ่มน้ำหรือผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค ประกาศบัญชีรายชื่อผู้เสียหาย ซึ่งมีสิทธิได้รับค่าชดเชยความเสียหาย ณ ศาลากลางจังหวัด ค่าชดเชยความเสียจะคึานึงความเสียหายตามความเป็นจริง หรืออ้างอิงจากราคากลางของราชการ
แม้กฎกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่กันยายน 2564 แต่จากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นยังไม่พบว่า มีการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในกรณีของทุ่งรับน้ำบางบาลและทุ่งรับน้ำทั้งหมดในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่ดูเหมือนจะต้องประสบอุทกภัยอยู่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้พื้นที่ปลายน้ำอย่างกรุงเทพมหานครจมน้ำก็ตาม
ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/flood2025-bangban-datatbase/


























