Connect with us

Hi, what are you looking for?

culture

กรุงเทพฯ เมืองคอนเสิร์ต : สำรวจคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในไทยจำนวน 526 งาน ตั้งแต่ปี 2023-2024

Photo by Vida Huang on Unsplash
  • ระหว่างปี 2023-2024 มีการจัดคอนเสิร์ต 526 งาน ในปี 2023 มีการจัดงานรวมทั้งหมด 242 งาน โดยแบ่งเป็น คอนเสิร์ต 220 งาน (41.83%) แฟนมีตติ้ง 22 งาน (4.18%) ขณะที่ในปี 2024 มีจำนวน 284 งาน แบ่งเป็นคอนเสิร์ต 268 งาน (50.95%) แฟนมีตติ้ง 16 งาน (3.04%) 
  • เดือนไหนที่มีคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งถี่ที่สุด คือ เดือนพฤศจิกายน มีจำนวน 67 งาน หรือคิดเป็น 12.74% ของงานทั้งหมด ส่วนเดือนที่มีคอนเสิร์ตน้อยที่สุด คือเดือนมกราคม โดยมีการจัดงานเพียง 23 ครั้ง คิดเป็น 4.37% ของงานทั้งหมด 
  • ศิลปินที่เดินทางมาเปิดการแสดงในไทยมากที่สุดคือ ศิลปินจากเกาหลีใต้ สูงถึง 168 งาน  คิดเป็น 31.94% แบ่งเป็นปี 2023 จำนวน 82 งาน คิดเป็น 15.59% ปี 2024 จำนวน 86 งาน คิดเป็น 16.35% อันดับสองเป็นศิลปินรวมสัญชาติ (หมายถึงในงานนั้นมีศิลปินหลากหลายสัญชาติ) ที่มี 124 งาน คิดเป็น 23.57% และอันดับสามคือศิลปินอเมริกัน มี 67 งาน คิดเป็น 12.74% 
  • ปี 2023-24 พบผู้จัดจำนวน 211 ราย รายใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดตอนนี้ คือ Live Nation Tero ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 71 งาน คิดเป็น 13.50% โดยในปี 2023 จัดไป 42 งาน และปี 2024 อีก 29 งาน ตามมาด้วย THE VERY COMPANY 19 งาน แบ่งเป็นปี 2023 จัดไป 13 งาน และปี 2024 อีก 6 รองลงมาคือ SM True ที่จัดคอนเสิร์ตไป 17 งาน (ปี 2023 มี 7 งาน ปี 2024 มี 10 งาน)
  • โลเคชั่นฮิตอันดับ 1 ในการจัดคอนเสิร์ตคือ สถานที่จัดงานในศูนย์การค้า ซึ่งมีจำนวน 138 งาน คิดเป็น 26.24% รองลงมาก็คือ สถานบันเทิง ไนท์คลับและไลฟ์เฮาส์ มีจำนวน 104 งาน คิดเป็น 19.77% และสนามกีฬาขนาดใหญ่และอารีน่า จำนวน 87 งาน คิดเป็น 16.54%
  • งานคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2023 มีการจัดงานในกรุงเทพฯ 155 งาน ขณะที่จังหวัดนนทบุรีมี 71 งาน และในปี 2024 กรุงเทพฯ ยิ่งจัดงานหนาแน่นกว่าเดิมที่ 210 งาน ขณะที่นนทบุรีมี 46 งาน เมื่อรวมทั้งสองจังหวัด (กรุงเทพฯ 365 งาน และ นนทบุรี 117 งาน) จะคิดเป็น 91.63% ของพื้นที่จัดงานทั้งหมด

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายที่ศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ ระดับโลกที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตมักจะมีชื่อของกรุงเทพฯ อยู่ในตารางทัวร์เสมอ (ยกเว้นเทเลอร์ สวิฟต์ไว้คน อ้อ…ล่าสุด เลดี้ กาก้า ด้วย) รวมไปถึงเทศกาลดนตรีระดับโลกที่ก็ทยอยมาจัดงานที่ในไทยเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นประโยคที่ว่า ‘กรุงเทพฯ เมืองคอนเสิร์ต’ นั้นจริงสักแค่ไหน ? 

Rocket Media Lab ชวนสำรวจการจัดคอนเสิร์ตในไทยว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา (2023-2024) ประเทศไทยเป็นสถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งบ่อยแค่ไหน ราคาบัตรคอนเสิร์ตแพงมากน้อยแค่ไหน ศิลปินกลุ่มใดที่มาจัดบ่อยที่สุด และตลาดคอนเสิร์ตนี้ กว้างใหญ่แค่ไหนกัน และมีปัจจัยอะไรบ้างที่เป็นทั้งอุปสรรคและความท้าทายที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองคอนเสิร์ตได้อย่างแท้จริง 

งานชิ้นนี้รวบรวมข้อมูลเฉพาะคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งของ ‘ศิลปินต่างชาติ’ ที่จัดขึ้นในประเทศไทย ระหว่างปี 2023-2024 เฉพาะงานที่มีช่องทางการจำหน่ายบัตรอย่างเป็นทางการและน่าเชื่อถือ ไม่นับรวมงานแสดงประเภทอื่น เช่น งานมหกรรม (Expo) งานแสดงสินค้า ทอล์กโชว์ การแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟน (Comedy Show) ละครเวที ละครเพลง โอเปร่า งานมอบรางวัล และการแสดงมายากล

การสำรวจนี้ครอบคลุมงาน Concert รวมถึง Fanmeeting และ Fancon ด้วย ซึ่งคำว่า Fancon เกิดจากการผสมคำว่า Fanmeet และ Concert เข้าด้วยกัน โดยกิจกรรมในงานจะผสมผสานการร้องเพลง การพูดคุย และการเล่นเกม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับ ทั้งนี้ รูปแบบและรายละเอียดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการจัดงาน

สำหรับศิลปินสัญชาติไทย จะนับรวมเฉพาะกรณีที่เดบิวต์หรือเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินของวงการบันเทิงต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ ศิลปินที่แจ้งเกิดจากรายการเซอร์ไวเวิล (เช่น แพทริค ณัฐวรรธ์, ซันนี่ เกวลิน) และสมาชิกวงดนตรีของเกาหลีใต้ (เช่น แบมแบม GOT7)

ทั้งนี้ในส่วนของการวิเคราะห์ราคาบัตร กรณีที่งานเทศกาลดนตรีมีการจำหน่ายบัตรหลายรูปแบบ จะยึดราคาบัตรประเภท 1 วัน (One-Day Pass) เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบ ไม่นับการขายบัตรล่วงหน้า (Early Bird)

สำหรับการวิเคราะห์จำนวนกิจกรรมรายเดือน หากคอนเสิร์ต 1 งานมีการจัดแสดงหลายรอบในเดือนเดียวกัน (เช่น ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) จะถูกนับเป็น 1 งาน ในภาพรวมของเดือนนั้นๆ และสำหรับการวิเคราะห์รายวัน จากตัวอย่างเดียวกัน จะถูกนับแยกเป็น 3 ครั้ง ตามวันที่จัดแสดงจริง คือ วันศุกร์ 1 ครั้ง, วันเสาร์ 1 ครั้ง และวันอาทิตย์ 1 ครั้ง เพื่อสะท้อนความหนาแน่นของการจัดงานในแต่ละวันของสัปดาห์ 

ตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ต 2024 TREASURE RELAY TOUR [REBOOT] IN BANGKOK มีการจัดแสดง 4 รอบ ในวันที่ 23-26 พฤษภาคม 2024 (พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) ในการนับรายเดือนนั้น คอนเสิร์ตนี้จะถูกนับเป็น 1 งาน สำหรับเดือนพฤษภาคม และในการนับรายวัน จะถูกนับแยกเป็น 4 ครั้ง คือ วันพฤหัสบดี 1 ครั้ง วันศุกร์ 1 ครั้ง วันเสาร์ 1 ครั้ง และวันอาทิตย์ 1 ครั้ง
 

ท่องตลาดคอนเสิร์ต/แฟนมีตติ้ง: เดือนไหนจัดฉ่ำที่สุด?

จากการเก็บข้อมูลของ Rocket Media Lab พบว่า ระหว่างปี 2023-2024 มีการจัดคอนเสิร์ต 526 งาน เมื่อจำแนกเป็นรายปีจะพบว่าในปี 2023 มีการจัดงานรวมทั้งหมด 242 งาน โดยแบ่งเป็น คอนเสิร์ต 220 งาน (41.83%) แฟนมีตติ้ง 22 งาน (4.18%) ขณะที่ในปี 2024 มีจำนวน 284 งาน แบ่งเป็นคอนเสิร์ต 268 งาน (50.95%) แฟนมีตติ้ง 16 งาน (3.04%) 

หากสำรวจว่าเดือนไหนที่มีคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งถี่ที่สุด 

คำตอบคือ เดือนพฤศจิกายน มีจำนวน 67 งาน หรือคิดเป็น 12.74% ของงานทั้งหมด รองลงมาคือเดือนธันวาคม ซึ่งมี 57 งาน คิดเป็น 10.84% ตามมาด้วยเดือนมีนาคม และ ตุลาคม ที่มีจำนวน 54 งาน คิดเป็น 10.27% เท่ากัน 

ส่วนเดือนที่มีคอนเสิร์ตน้อยที่สุด คือเดือนมกราคม โดยมีการจัดงานเพียง 23 ครั้ง คิดเป็น 4.37% ของงานทั้งหมด 

เมื่อมองแยกทีละปี ข้อมูลนี้ยังสอดคล้องและต่อเนื่อง คือ เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนยอดนิยมของการจัดงาน และเดือนมกราคมมีการจัดงานน้อยครั้งที่สุด  พบว่าใน 242 งานที่เกิดขึ้นปี 2023 เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่คึกคักที่สุด ซึ่งงานสูงถึง 35 งาน คิดเป็น 6.65% รองลงมาคือเดือนธันวาคม 30 งาน คิดเป็น 5.70% และเดือนมีนาคม 25 งาน คิดเป็น 4.75% ส่วนเดือนที่มีการจัดงานน้อยที่สุดคือเดือนมกราคม ซึ่งมีเพียง 9 งาน คิดเป็น 1.71%

และในปี ซึ่งมี 284 งาน เดือนที่คึกคักที่สุดยังคงเป็นเดือนพฤศจิกายน โดยมี 32 งาน คิดเป็น 6.08% ตามมาด้วยเดือนตุลาคม 30 งาน คิดเป็น 5.70% และเดือนมีนาคม กับ สิงหาคม 29 งานเท่ากัน คิดเป็น 5.51% ส่วนเดือนที่เงียบเหงาที่สุดคือเดือนมกราคม ซึ่งมีเพียง 14 งาน คิดเป็น 2.66%

สำหรับคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งที่จัดในเดือนพฤศจิกายน มีความหลากหลายสูง ทั้งคอนเสิร์ตเต็มวงและงานแฟนมีตติ้งเดี่ยว เช่น งานของศิลปินเกาหลีอย่าง 2024 WayV CONCERT [ON THE Way] IN BANGKOK, DAY6 3RD WORLD TOUR <FOREVER YOUNG> in Bangkok (2024), 2023 KIM SEJEONG 1st CONCERT TOUR (2023), CHANYEOL FANCON TOUR ‘THE ETERNITY’ in BANGKOK (2023) และงานแฟนมีตอัปของ LISA (2024)

รวมไปถึงงานของศิลปินตะวันตก เช่น ROD STEWART LIVE IN CONCERT ONE LAST TIME (2023), JAMES ARTHUR SOUTH EAST ASIA TOUR 2023, Dua Lipa Radical Optimism Tour (2024) และ Imagine Dragons: LOOM WORLD TOUR (2024) นอกจากนี้ ยังมีศิลปินเอเชียชาติอื่นๆ เช่น China-Thailand Friendship Culture Exchange “Special Live Show with Luo Yunxi” (2023), Best of Fujii Kaze 2020-2024 ASIA TOUR in Bangkok (2024) และเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่อย่าง Supersound Festival Thailand 2023 และ Rolling Loud Thailand 2024

จากสถิติจะเห็นว่า คอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งต่างๆ นิยมมาจัดในไทยช่วงกลางปีไปจนถึงท้ายปีมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องข้อมูลที่ว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ฤดูกาลที่มีการจัดคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรีมากที่สุดคือฤดูหนาว ประมาณเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคม 

สาเหตุเพราะหลีกเลี่ยงช่วงมรสุมหนักอย่างฤดูฝน ใช้ประโยชน์จากความหนาวเย็น ทั้งยังสอดคล้องกับสภาพอากาศในภูมิภาคที่เป็นเขตร้อนด้วย แม้จะมีกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี และผลสำรวจของ GMM SHOW ผู้นำในการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีในไทย พบว่า คนวัยทำงาน อายุ 23-39 ปี ระบุว่าชอบเที่ยวเทศกาลดนตรีในช่วงปลายปีมากที่สุด เพราะต้องการพักผ่อนช่วงวันหยุด คลายเครียดจากการทำงานช่วงส่งท้ายปี และสร้างประสบการณ์ใหม่ในสถานที่ดีๆ จึงอาจเป็นเหตุผลว่า เทศกาลดนตรีจำนวนไม่น้อยเลือกจัดเดือนธันวาคม ทั้งเพราะอากาศเย็นสบาย และมักจะเลือกงานท่ามกลางธรรมชาติเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี 

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ตุลาคม มีคอนเสิร์ตหนาแน่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจังหวะของทัวร์คอนเสิร์ตศิลปินระดับโลก โดยศิลปินเฉพาะจากฝั่งอเมริกาและยุโรปมักจะสิ้นสุดทัวร์ในประเทศตัวเองช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน (ประมาณเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม) หลังจากทัวร์ฝั่งยุโรปจบ ก็จะเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตฝั่งเอเชีย ซึ่งมักจะตรงกับช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4

เช่น ช่วงเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาและยุโรป อย่าง Coachella, Glastonbury, Lollapalooza ที่ศิลปินส่วนใหญ่จึงมักจะทัวร์คอนเสิร์ตในช่วงนี้เพื่อเดินสายตามเทศกาลต่างๆ หลังจบเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ แล้วจึงเริ่มออกทัวร์ในเอเชีย 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความหนาแน่นในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเต็มไปด้วยศิลปินตะวันตกที่กำลังเดินสายทัวร์ เช่น BEBE REXHA ‘BEST F’N NIGHT OF MY LIFE’ TOUR (2023), ROD STEWART LIVE IN CONCERT ONE LAST TIME (2023), JAMES ARTHUR SOUTH EAST ASIA TOUR 2023, TATE MCRAE THINK LATER WORLD TOUR 2024, Imagine Dragons: LOOM WORLD TOUR (2024) และ Dua Lipa Radical Optimism Tour (2024)

นอกจากนี้อาจสัมพันธ์กับปัจจัยด้านสภาพอากาศ ช่วงที่คึกคักที่สุด (พฤศจิกายน-ธันวาคม) เป็นช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ที่เหมาะกับการจัดอีเวนต์และเทศกาลต่างๆ อยู่แล้ว 

ส่วนปัจจัยที่ทำให้เดือนมกราคมมีการจัดคอนเสิร์ตน้อย อาจอนุมานได้ตามเหตุผลเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค กล่าวคือเดือนมกราคมเป็นช่วงหลังปีใหม่ ที่ผู้บริโภคเพิ่งเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทั้งการท่องเที่ยว  การให้ของขวัญ ตลอดจนงานเลี้ยงสังสรรค์ อีกทั้งยังมีการแข่งขันจากเทศกาลอื่นๆ ในช่วงสิ้นปีอีก ทั้งจากงานเคาท์ดาวน์และคอนเสิร์ตช่วงปีใหม่ ผู้จัดจึงมีการวางแผนคอนเสิร์ตและมักเลี่ยงไปจัดในช่วงที่ผู้ชมมีแนวโน้มจะซื้อบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 

วันไหนของสัปดาห์ที่นิยมจัดคอนเสิร์ตมากที่สุด?: วันเสาร์ เดือนสิงหาคม คือวันมงคลแห่งวงการคอนเสิร์ต

อาจดูไม่น่าแปลกใจอะไร ที่การจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งมักจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ กว่า 64% ของงานทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ในวันเสาร์ อาทิตย์ โดยวันที่นิยมที่สุดคือวันเสาร์ ซึ่งถูกเลือกเป็นวันจัดงานมากที่สุดถึง 258 ครั้ง คิดเป็น 39.27% ของงานทั้งหมด รองลงมาคือวันอาทิตย์ ซึ่งมีการจัดงาน 162 ครั้ง (24.66%)

หากแยกเป็นรายปี แนวโน้มความนิยมในการจัดคอนเสิร์ตก็ยังคงเป็นวันเสาร์มากที่สุด ในปี 2023 โดยพบว่าวันเสาร์ เป็นวันที่นิยมที่สุดด้วยจำนวน 111 งาน ตามมาด้วยวันอาทิตย์ 73 งาน ส่วนปี 2024 แนวโน้มนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น โดยสัดส่วนของวันเสาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 147 งาน ขณะที่วันอาทิตย์มีจำนวน 89 งาน

เมื่อสำรวจต่อไปว่า วันไหนของปีที่จัดงานชุกที่สุด จะพบว่า วันเสาร์ในเดือนสิงหาคม ในปี 2023-2024 มีการจัดคอนเสิร์ตถึง 32 งาน รองลงมาคือวันเสาร์ในเดือนพฤศจิกายนที่มี 31 งาน และตามมาด้วย วันเสาร์ในเดือนกรกฎาคม, วันเสาร์ในเดือนธันวาคม และ วันเสาร์ในเดือนตุลาคม ซึ่งมี 25 งานเท่ากัน  เช่น งาน D&E WORLD TOUR FANCON – [DElight Party] ของศิลปิน Super Junior D&E งานTHE BOYZ 2ND WORLD TOUR: ZENERATION จากบอยแบนด์ THE BOYZ เป็นต้น

ส่วนวันที่มีการจัดคอนเสิร์ตน้อยที่สุดคือวันจันทร์ โดยเกิดขึ้นเพียง 24 ครั้ง (3.65%) ในช่วงเวลาที่สำรวจ แบ่งเป็นปี 2023 จำนวน  9 งาน และปี 2024 จำนวน 15 งาน โดยพบว่าในเดือนกรกฎาคม 2023-2024 มีการจัดงานในวันจันทร์เพียง 2 งาน เดือนสิงหาคม 3 งาน และเดือนกันยายน 5 งาน เช่น คอนเสิร์ตของ Dermot Kennedy ในงาน DERMOT KENNEDY THE SONDER TOUR และวงร็อกระดับตำนาน Mr. BIG กับทัวร์อำลา Mr. BIG Farewell World Tour The BIG Finish

ทั้งนี้เมื่อสำรวจว่าวันไหนเป็นวันคอนเสิร์ตแห่งชาติ โดยนับวันที่มีการจัดงานชนกันมากที่สุด มี 4 วันด้วยกันคือ วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2024, 3 พฤศจิกายน 2023, 6 กรกฎาคม 2024, 24 สิงหาคม 2024 และ 23 พฤศจิกายน 2024 ซึ่งมีการจัดงานพร้อมกันถึง 6 งาน ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2024 ซึ่งมีการจัดงานพร้อมกันถึง 6 งาน ได้แก่

  • งาน DOYOUNG – 2024 DOYOUNG CONCERT [ Dear Youth, ] in BANGKOK โดยอง (DOYOUNG) แห่งวง NCT โวคอลเสียงหลักผู้ทรงพลัง 
  • งาน SUMMER SONIC BANGKOK 2024 เทศกาลดนตรีนานาชาติฟอร์มยักษ์จากญี่ปุ่น
  • งาน SALENA JONES – An Evening with SALENA JONES Live in Bangkok ของคอนเสิร์ตของศิลปินแจ๊ซระดับตำนานชาวอเมริกัน
  • งาน KIM SUNG KYU – 2024 KIM SUNG KYU CONCERT [LV3: Let’s Vacay] จากลีดเดอร์และเสียงร้องหลักแห่งวง INFINITE
  • งาน KIM JI WON – 2024 KIM JI WON ASIA FAN MEETING TOUR < BE MY ONE > ของนางเอกสุดฮอตจาก ‘Queen of Tears ราชินีแห่งน้ำตา’ 
  • งาน YOUNGJAE – 2024 YOUNGJAE ASIA TOUR ‘ONCE IN A DREAM’ สมาชิกจากวง GOT7 

เหตุผลที่วันเสาร์เป็นที่นิยมสูงสุดนั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค คือ วันเสาร์เป็นวันหยุดเต็มวันสำหรับคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือนักเรียนนักศึกษา ขณะเดียวกัน วันจันทร์เป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ทำงาน จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับการจัดกิจกรรมที่เลิกดึกและต้องใช้พลังงานเยอะอย่างคอนเสิร์ต 

ศิลปินสัญชาติไหน มาจัดคอนฯ ที่ไทยบ่อยสุด: K-Pop ยังมาแรง 

เมื่อวิเคราะห์สัญชาติของศิลปินที่เดินทางมาเปิดการแสดงในไทย เมื่อวิเคราะห์สัญชาติของศิลปินที่เดินทางมาเปิดการแสดงในไทย พบว่าศิลปินจากเกาหลีใต้ยังคงแวะเวียนมาจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งบ่อยที่สุด สูงถึง 168 งาน คิดเป็น 31.94% อันดับสองเป็นศิลปินรวมสัญชาติ (หมายถึงในงานนั้นมีศิลปินหลากหลายสัญชาติ) ที่มี 124 งาน คิดเป็น 23.57% และอันดับสามคือศิลปินอเมริกัน มี 67 งาน คิดเป็น 12.74% 

เมื่อพิจารณาคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี พบว่า ใน 168 งาน แบ่งเป็นปี 2023 จำนวน 82 งาน คิดเป็น 15.59% ปี 2024 จำนวน 86 งาน คิดเป็น 16.35%  ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของวัฒนธรรม K-Pop ที่แข็งแกร่งในไทย มีศิลปินแวะเวียนมาจัดงานครบทุกรูปแบบ ตั้งแต่เกิร์ลกรุ๊ป บอยแบนด์ ไปจนถึงศิลปินเดี่ยวและนักแสดงชื่อดัง  เช่น BLACKPINK ใน BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] BANGKOK ENCORE หรือบอยแบนด์ Stray Kids กับ Stray Kids World Tour <dominATE BANGKOK> ไปจนถึงคอนเสิร์ตเดี่ยวของศิลปินอย่าง Suga แห่งวง BTS กับทัวร์ SUGA | Agust D TOUR ‘D-DAY’ IN BANGKOK และ TAEYEON ใน TAEYEON CONCERT – The ODD Of LOVE in BANGKOK ซึ่งล้วนได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม นอกจากนี้กระแสความนิยมจากซีรีส์ยังส่งผลให้นักแสดงเกาหลีใต้เดินทางมาจัดแฟนมีตติ้งอย่างต่อเนื่อง เช่น คิมซูฮยอน จากซีรีส์ My Love From the Star (ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว)  It’s Okay to Not Be Okay (เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน) และ Queen of Tears (ราชินีแห่งน้ำตา)  ในงาน 2024 KIM SOO HYUN ASIA TOUR in BANGKOK และบยอนอูซอก จากซีรีส์ Lovely Runner (ข้ามเวลามาเซฟเมน) กับ 2024 BYEON WOO SEOK Asia Tour in Bangkok ก็เคยมาจัดแฟนมีตติ้งด้วย

ตามมาด้วยคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีที่รวบรวมศิลปินหลากหลายสัญชาติ (รวม) ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง โดยมีการจัดงานทั้งหมด 124 งาน และน่าสังเกตว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก 46 ครั้งในปี 2023 เป็น 78 ครั้งในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ เช่น Rolling Loud Thailand, SUMMER SONIC BANGKOK และ Maho Rasop เป็นต้น

ส่วนศิลปินอเมริกัน 67 งาน แบ่งเป็นปี 2023 จำนวน 30 งาน ปี 2024 จำนวน 37 งาน ตัวอย่างเช่น การมาเยือนของ Bruno Mars ในคอนเสิร์ต BRUNO MARS LIVE IN BANGKOK ศิลปิน Olivia Rodrigo กับทัวร์ล่าสุด GUTS world tour ตลอดจน Post Malone ในงาน Post Malone: If Y’all Weren’t Here ไปจนถึง Mika Hashizume ศิลปินญี่ปุ่น-อเมริกันที่มาจัดงาน MIKA 1ST FAN MEETING IN BANGKOK ก็แวะเวียนมาจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งที่ไทยแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ศิลปินฝั่งอเมริกันก็ไม่ได้จัดเฉพาะคอนเสิร์ตสเกลใหญ่แต่ยังมีการจัดคอนเสิร์ตระดับเล็กๆ ในสเกลไลฟ์เฮ้าส์ เช่น งาน BEBE REXHA ‘BEST F’N NIGHT OF MY LIFE’ TOUR BANGKOK (2023) และ Cigarettes After Sex (2023) ที่จัดในสเกล MOONSTAR STUDIO, DOMI & JD BECK (2024), Sasha Alex Sloan (2024) และ Boys Like Girls (2024) ที่จัดใน Lido Connect Hall ไปจนถึงวงอย่าง La Dispute (2024) ที่ Decommune และ CONVERGE (2024) ที่ The Rock Pub

ขณะเดียวกันกระแส J-Pop และ J-Rock ก็ยังคงมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นในไทย โดยมีทั้งวงร็อกแถวหน้าและศิลปินรุ่นใหม่ที่เป็นไวรัลมาเปิดการแสดงอย่างต่อเนื่อง มากถึง 38 งาน คิดเป็น 7.22% โดยปี 2023 มี 14 งาน และปี 2024 มี 24 งาน ตัวอย่างเช่น วงร็อกแถวหน้าของญี่ปุ่นอย่าง ONE OK ROCK ที่มาพร้อมทัวร์ ONE OK ROCK Luxury Disease Asia Tour 2023 in Bangkok, ศิลปินหนุ่มมากความสามารถ FUJII KAZE กับ Fujii Kaze and the piano Asia Tour in Bangkok, วง RADWIMPS เจ้าของเพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมะ Your Name ที่มาจัดทัวร์ถึงสองครั้ง ในรอบสองปี คือ RADWIMPS Asian Tour 2023 และ RADWIMPS WORLD TOUR 2024 ไปจนถึง Ado ศิลปินหญิงลึกลับที่ไม่เปิดเผยใบหน้าที่สร้างปรากฏการณ์กับ Ado THE FIRST WORLD TOUR ”Wish” in Bangkok 

ตามมาด้วยศิลปินจากฝั่งอังกฤษ ที่ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมกลุ่มใหญ่เสมอ โดยเฉพาะศิลปินระดับโลกที่สามารถจัดคอนเสิร์ตสเกลสเตเดียมได้ โดยจากข้อมูลพบการจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งจำนวน 35 งาน คิดเป็น 6.65% แบ่งเป็นปี 2023 มี 17 งาน และปี 2024 มี 18 งาน  เช่น การมาเยือนของ Coldplay กับทัวร์ครั้งประวัติศาสตร์ Coldplay Music Of The Spheres World Tour, Ed Sheeran ใน ‘+ – = ÷ x’ Mathematics Tour และ Harry Styles กับ HARRY STYLES PRESENTS LOVE ON TOUR 2023 ซึ่งทั้งหมดนี้จัดขึ้นที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน และยังมีศิลปินป๊อปชื่อดังอย่าง Sam Smith กับ GLORIA The Tour, Dua Lipa ใน Radical Optimism Tour และวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกขวัญใจวัยรุ่นอย่าง The 1975 ที่มาพร้อมทัวร์ At Their Very Best Live in Bangkok 2023 รวมถึงศิลปินระดับตำนานอย่าง Rod Stewart ที่ยังคงเดินทางมาพบปะแฟนเพลงชาวไทยด้วย

นอกจากนี้ยังมีศิลปินจากจีน จำนวน 20 งาน คิดเป็น 3.80% แบ่งเป็น ปี 2023 มี 12 งาน และปี 2024 มี 8 งาน ซึ่งกระแสความนิยมของศิลปินจีน (C-Pop) กำลังเติบโตขึ้นอย่างน่าจับตา โดยเฉพาะกลุ่มนักแสดงและไอดอลจากรายการเซอร์ไวเวิลที่มีฐานแฟนคลับชาวไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยศิลปินที่เดินทางมาจัด คอนเสิร์ต เต็มรูปแบบนั้นมีหลากหลายแนวทาง ตั้งแต่ Dylan Wang (หวังเฮ่อตี้) พระเอก F4 เวอร์ชั่นล่าสุดที่ได้รับความนิยมจนบัตรคอนเสิร์ต D.Party Concert in Bangkok ขายหมดเต็มความจุอิมแพ็ค อารีน่า, เวิลด์ทัวร์ของศิลปินเดี่ยวชื่อดังอย่าง KUN (ไช่สวีคุน) ในงาน KUN 2023 WORLD TOUR IN BANGKOK และ Joker Xue (เซวียจือเชียน) ไปจนถึงนักแสดงมากความสามารถอย่าง Zhang Zhehan (จางเจ๋อฮั่น) ที่มาพร้อมคอนเสิร์ตเดี่ยว PRIMORDIAL THEATER ของตัวเอง ส่วนในฝั่งของ งานแฟนมีตติ้ง ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นำโดยบอยแบนด์สัญชาติจีนจากค่าย SM Entertainment อย่าง WayV กับงาน 2023 WayV Fanmeeting Tour [Phantom], นักแสดงหนุ่ม Luo Yunxi (หลัวอวิ๋นซี) กับงาน China-Thailand Friendship Culture Exchange “Special Live Show with Luo Yunxi” โดยมาในฐานะตัวแทนเชื่อมความสัมพันธ์อันดี แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีน เป็นคนแรก ตลอดจนเกิร์ลกรุ๊ปจากรายการเซอร์ไวเวิล Gen1es

ทั้งนี้หากมองในภาพรวม จะพบว่าศิลปินที่มาจัดคอนเสิร์ตในไทย เป็นศิลปินจากตะวันตก 28.71% โดยแยกเป็น ศิลปินอเมริกัน (รวมอเมริกัน-ฟิลิปปินส์) 12.93% และ ศิลปินตะวันตกที่ไม่ใช่อเมริกัน 15.78%ส่วนศิลปินตะวันออก คิดเป็น 47.72% แยกเป็นศิลปินเกาหลี (รวมเกาหลี-ไทย / เกาหลี-อเมริกัน) 33.46% และศิลปินเอชียที่ไม่ใช่ศิลปินเกาหลี 14.26% นอกจากนั้นส่วนที่เหลือ 23.57% นั้นเป็นคอนเสิร์ตรวมศิลปินหลายเชื้อชาติ 

ตัวเลขเหล่าสะท้อนว่า ศิลปิน K-Pop ยังคงรักษาฐานแฟนคลับในไทยได้อย่างเหนียวแน่นผ่านการจัดงานคอนเสิร์ตและกิจกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มศิลปินตะวันตกก็ได้รับความนิยมสูง โดยอาศัยผลงานทางด้านดนตรี และเพลงสากลที่เข้าถึงแฟนเพลงชาวไทยในวงกว้าง

เจาะตลาดแฟนมีตติ้ง กลยุทธ์เด็ดของศิลปินฝั่งเอเชีย

นอกจากการจัดคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบแล้ว แฟนมีตติ้งก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบอีเวนต์ที่ได้รับความนิยามอย่างสูง ความแตกต่างจากคอนเสิร์ตโดยทั่วไปคือเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์และความใกล้ชิดระหว่างศิลปินและแฟนคลับ ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูดคุย การเล่นเกม การตอบคำถาม ผสมกับการแสดงโชว์พิเศษมากกว่าแสดงดนตรีเพียงอย่างเดียว และมีระยะเวลาสั้นกว่าคอนเสิร์ต โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1.30 – 2.30 ชั่วโมง และส่วนใหญ่เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้และจีนเป็นหลัก พบว่ามีการจัดงานรวมทั้งหมด 38 งาน ในช่วงปี 2023-2024 

ความสำเร็จของศิลปินเกาหลีในไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่คอนเสิร์ต แต่แฟนมีตติ้งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทรงพลัง โดยเฉพาะการต่อยอดความสำเร็จจากกระแสความนิยมของซีรีส์เกาหลี (K-Drama) ที่ทำให้นักแสดงแถวหน้าเดินทางมาพบปะแฟนคลับชาวไทยอย่างต่อเนื่อง

ปรากฏการณ์นี้เห็นได้จากการจัดงานแฟนมีตติ้งของนักแสดงระดับแม่เหล็กมากมาย จากข้อมูลพบว่ามีการจัดแฟนมีตติ้งของศิลปินและนักแสดงเกาหลีใต้ (รวมเกาหลีใต้-ไทย) จำนวน 31 งาน ตัวอย่างเช่น งานที่มีความเอ็กซ์คลูซีฟสูงสุด อย่างงาน2023 LEE SUNG KYOUNG ASIA FAN MEETING [BE CLOSER] IN BANGKOK ของนักแสดงสาว อีซองคยอง (Lee Sung Kyoung) เจ้าของซีรีส์ Dr. Romantic 3 (2023) ซึ่งจัดในสเกลกระทัดรัดเพียง 821 ที่นั่ง หรืองานคิมซอนโฮ (Kim Seon Ho) ที่โด่งดังซีรีส์เกาหลีฮีลใจอย่างซีรีส์ Hometown Cha-Cha-Cha (2021)  ในงาน KIM SEON HO ASIA TOUR IN BANGKOK < ONE, TWO, THREE. SMILE > ที่จัด ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งรองรับผู้ชมได้ 4,615 ที่นั่ง โดยมีราคาบัตรสูงสุดถึง 6,500 บาท และงานบยอนอูซอก (Byeon Woo Seok) จากซีรีส์เรื่อง Lovely Runner (2024) กับงาน 2024 BYEON WOO SEOK Asia Tour in Bangkok ที่จัดในสเกลโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ซึ่งมีความจุเพียงประมาณ 1,069 ที่นั่ง แต่สามารถสร้างปรากฏการณ์บัตร Sold Out ทั้งสองรอบ ด้วยราคาบัตรที่ตั้งไว้ 3,000 – 6,000 บาท

นอกจากนี้ ยังรวมถึงไอดอลที่มีผลงานการแสดงเป็นที่รู้จักอย่าง ยูริ (Yuri), อกแทคยอน (Ok Taecyeon), พัคจีฮุน (Park Jihoon) และไอดอล K-Pop ระดับโลกอย่าง ลิซ่า (LISA) และ แบมแบม (BamBam) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แฟนมีตติ้งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างและรักษาฐานแฟนคลับในต่างประเทศ

ในด้านหนึ่ง แม้กระแสความนิยมในตัวศิลปินและนักแสดงชาวจีน (ติ่งจีน) จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มแฟนคลับชาวไทย แต่ช่วงสองปีนี้ จำนวนการจัดคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้งจากศิลปินจีนยังมีค่อนข้างน้อย จากการสำรวจ พบแฟนมีตติ้งของศิลปินจีน (รวมจีน-ไทย) เพียง 5 งาน ได้แก่ WayV, หลัวอวิ๋นซี (Luo Yunxi), จางเจ๋อฮั่น (Zhang Zhehan), Gen1es และ แพทริค (Patrick) ตัวอย่างเช่นงาน China-Thailand Friendship Culture Exchange “Special Live Show with Luo Yunxi” ที่จัดขึ้น ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2023 สำหรับผู้ชม 4,400 คน บัตรราคา 2,800 – 8,800 บาท

เหตุผลสำคัญคืออุตสาหกรรมบันเทิงจีนยังคงเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก แตกต่างจาก K-Pop ที่มีนโยบายส่งออกวัฒนธรรมและจัดเวิลด์ทัวร์อย่างเป็นระบบ แฟนคลับชาวไทยส่วนใหญ่มักติดตามนักแสดงจีนจากซีรีส์ ซึ่งทำให้รูปแบบความต้องการในการพบปะศิลปินแตกต่างจากแฟนคลับ K-Pop ที่ติดตามในฐานะไอดอล

ทั้งนี้ศิลปินเพลงภาษาจีนกลาง (Mandopop) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกและประสบความสำเร็จในการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ในไทยอย่าง Jay Chou (เจย์ โชว์) กับคอนเสิร์ต Jay Chou Carnival World Tour 2023 – Bangkok และ JJ Lin (เจเจ หลิน) ในคอนเสิร์ต JJ LIN “JJ20” WORLD TOUR- BANGKOK นั้น ไม่ได้มีสัญชาติจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเจย์ โชว์ เป็นศิลปินชาวไต้หวัน และเจเจ หลิน เป็นชาวสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาด Mandopop ในไทยยังคงเปิดกว้าง แต่การนำเข้าศิลปินจากจีนแผ่นดินใหญ่โดยตรงยังมีจำนวนไม่มากนัก

ดังนั้น แม้จะมีฐานแฟนคลับที่พร้อมให้การสนับสนุน แต่การจะเห็นงานอีเวนต์ของศิลปินจีนในไทยเพิ่มขึ้น ยังคงเป็นความท้าทายและขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของผู้จัดและต้นสังกัดในฝั่งจีนในอนาคตด้วย

และหากสำรวจภาพรวมของแฟนมีตติ้งที่เกิดในไทย ก็พบว่าสถานที่จัดงานยอดนิยม มักจัดขึ้นในฮอลล์ขนาดกลางที่มีความจุระหว่าง 1,000 – 5,000 คน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ใกล้ชิด แต่ก็จะมีบางงานที่ขยับไปใช้ฮอลล์ขนาดใหญ่ขึ้นตามความนิยมของศิลปินด้วย โดยสถานที่ที่ถูกเลือกใช้บ่อยที่สุดคือ Thunder Dome (ใช้จัด 6 ครั้ง) และ แจ้งวัฒนะ ฮอลล์ (ใช้จัด 6 ครั้ง) โดย Thunder Dome (ความจุประมาณ 3,500 ที่นั่ง) ถือเป็นตัวเลือกหลักสำหรับศิลปินและนักแสดงระดับแม่เหล็กที่มีฐานแฟนคลับในไทยอย่างหนาแน่น (เช่น คิมซูฮยอน, Super Junior D&E, WayV) ซึ่งต้องการสเกลที่ใหญ่เพียงพอแต่ยังคงให้ความรู้สึกใกล้ชิดมากกว่าอารีน่าขนาดใหญ่

ตามมาด้วย KBank Siam Pic-Ganesha Theatre (ใช้จัด 5 ครั้ง) ซึ่งเป็นฮอลล์ที่เน้นความใกล้ชิดยิ่งขึ้น (ความจุประมาณ 1,069 ที่นั่ง) และสถานที่ยอดนิยมอื่นๆ เช่น Royal Paragon Hall (ใช้จัด 3 ครั้ง) และ Queen Sirikit National Convention Center (ใช้จัด 3 ครั้ง) ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เดินทางสะดวก

ส่วนราคาบัตรในงานแฟนมีตติ้งนั้นก็มีช่วงราคาที่กว้างมาก ตั้งแต่ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาท ของงาน Hatano Yui & Otsuki Hibiki For 16 Years Asia Tour Fan Meeting in Bangkok หรือราคาบัตร 1,500 บาท เช่น ในงาน 2024 Lee Yi Kyung Fan Meeting in Bangkok (Love Holee Day) ของอีอีคยอง ศิลปินจากเกาหลีใต้ ไปจนถึงแพ็กเกจ VVIP ที่มีราคาสูงถึง 13,800 บาท ในงาน CHASE ZHANGZHEHAN 2023 FANMEETING ของจางเจ๋อฮั่น โดยเฉลี่ย ราคาบัตรแฟนมีตติ้งอยู่ที่ราว 4,500 – 5,500 บาท จำนวนผู้เข้าชมของแฟนมีตติ้งก็ขึ้นอยู่กับความจุดของฮอลล์ที่จัด ซึ่งอยู่ในช่วง 500 คน (เช่น Mr. FOX Live House) ไปจนถึง 12,000 คน (เช่น Impact Arena ในงาน 2024 Red Velvet FANCON <HAPPINESS: My Dear, ReVe1uv> in BANGKOK) ดังจะเห็นได้จากงานของแบมแบม BamBam [BAMESIS] SHOWCASE TOUR in Bangkok ของแบมแบม ที่จัดขึ้นในสเกลใหญ่ถึง 2 รอบ เมื่อวันที่ 17-18 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจุผู้ชมได้ถึง 7,776 คน 

น่าสนใจว่า ราคาบัตรคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งมีค่ากลาง (ค่ามัธยฐาน) ที่เท่ากัน แม้สเกลงานและปัจจัยการเตรียมจัดงานจะแตกต่างกันก็ตาม

โดยทั่วไป งานคอนเสิร์ตต้องใช้เวลาเตรียมการนานกว่า มีโปรดักชันขนาดใหญ่ และมีความซับซ้อนด้านเวที แสง สี เสียง และทีมงานมากกว่า พบว่าราคาบัตรคอนเสิร์ตมีค่ากลาง (ค่ามัธยฐาน) อยู่ที่ 4,500 บาท และค่าเฉลี่ย 4,750 บาท โดยราคาบัตรคอนเสิร์ตก็มีช่วงราคาที่กว้างมากตั้งแต่ 300 บาทไปจนถึง 28,300 บาท เพื่อรองรับสเกลงานที่หลากหลาย ซึ่งจัดได้ทั้งในฮอลล์ขนาดเล็กไปจนถึงสเตเดียม

ในทางกลับกัน งานแฟนมีตติ้งมักจะมีรายละเอียดให้เตรียมการน้อยกว่า เน้นกิจกรรมสร้างความใกล้ชิดมากกว่าโปรดักชันเต็มรูปแบบ จัดงานแต่ละครั้งใช้เวลาราว 1-2 ชั่วโมง มีค่ากลาง (ค่ามัธยฐาน) อยู่ที่ 4,500 บาท และค่าเฉลี่ย 4,723.26 บาท  ซึ่งสามารถทำราคาได้ในระดับที่แทบไม่ต่างกับงานคอนเสิร์ต 

และจุดนี้ ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อพิจารณาสเกลความจุของแฟนมีตติ้ง 38 งาน ซึ่งมีค่ามัธยฐานของความจุผู้ชมอยู่ที่เพียง 3,000 ที่นั่ง และมีค่าเฉลี่ยความจุอยู่ที่ 3,503 ที่นั่ง (แม้จะมีบางงานที่ขยับไปถึง 7,000 – 12,000 ที่นั่งก็ตาม) สิ่งเหล่านี้อาจอนุมานได้ว่า การที่งานแฟนมีตติ้งซึ่งจัดในสเกลความจุเฉลี่ย 3,000-3,500 คน และใช้เวลาเตรียมงานน้อยกว่า กลับมีราคากลางและราคาเฉลี่ยเทียบเท่าคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบนี้ ในขณะที่ ค่ามัธยฐานความจุของที่นั่งของคอนเสิร์ตอยู่ที่ 1,584 ที่นั่ง และค่าเฉลี่ยความจุอยู่ที่ 3,987 ที่นั่ง สะท้อนให้เห็นว่าแฟนคลับในตลาดยินดีจ่ายในราคาสูงเพื่อแลกกับประสบการณ์และความพิเศษ แม้ว่าจะใช้ระยะเวลาที่ได้พบปะศิลปินน้อยกว่าในคอนเสิร์ตก็ตาม

ตั๋วไหนราคาใครแพงเว่อร์: ยิ่งบัตรแพง ยิ่งซอยโซนเยอะ

ราคาบัตรคอนเสิร์ต เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจว่าจะเลือกไปดูคอนเสิร์ตไหน โดยเฉพาะกรณีที่มีหลายคอนเสิร์ตที่อยากจะไปแต่มีงบประมาณจำกัด ราคาบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินต่างประเทศที่มาเล่นคอนเสิร์ตในไทยมีความหลากหลายตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลายหมื่นบาทสำหรับบัตร VIP หรือแพ็คเกจพิเศษต่างๆ การตั้งราคาดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชื่อเสียงของศิลปิน ขนาดของสถานที่จัดงาน และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ผู้ชมจะได้รับ 

จากการสำรวจพบว่า ราคาบัตรมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายหมื่นบาทโดยราคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดเริ่มต้นเพียง 300 บาท ซึ่งเป็นค่าบัตรสำหรับเข้าชมการแสดงของศิลปิน/ดีเจในคลับและไลฟ์เฮาส์ เช่น ดีเจชาวดัตช์ Dekmantel Soundsystem หรือ Kléo ที่ BEAMCUBE ซึ่งพบราคาเหล่านี้ในอีกหลายงาน และขยับขึ้นมาเป็นบัตรเข้าชมเทศกาลดนตรี OCTOPOP 2023 ในโซน GA (Only Cave Stage) ที่ราคา 588 บาท ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมศิลปินต่างชาติชื่อดังไว้มากมาย อาทิ แทยัง (Taeyang) ยูคยอม (Yugyeom) และเจสซี่ (Jessi) ไปจนถึงแพ็กเกจ VIP สุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง Ultimate Spheres Experience ของคอนเสิร์ต Coldplay Music Of The Spheres World Tour ที่มีราคาสูงสุดถึง 28,300 บาท และมีการแบ่งโซนราคามากถึง 10 ระดับ 

จากการวิเคราะห์ราคาบัตร พบว่าราคาที่พบมากที่สุดคือบัตรราคา 2,500 บาท มีข้อสังเกตว่า ผู้จัดมักจะตั้งราคานี้ไว้ เพราะไม่ต่ำเกินไปและไม่สูงโดดจนเกินไป แต่เมื่อพิจารณาจากราคาบัตรทั้งหมดที่สำรวจใน 526 งานนั้น พบว่าค่ากลางที่แท้จริง (หรือค่ามัธยฐาน) จะอยู่ที่ 4,500 บาท ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของบัตรทั้งหมดจะอยู่ที่ 4,750 ซึ่งการที่ค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่ามัธยฐานเล็กน้อย สะท้อนว่ามีการกระจายตัวของบัตรราคาสูงหรือบัตร VVIP ที่ดึงมูลค่าภาพรวมให้สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น บัตรราคาสูงและแพ็กเกจ VIP ที่ดึงค่าเฉลี่ยโดยรวมให้สูงขึ้น โดยราคาสูงที่สุดที่พบในการสำรวจนี้คือแพ็กเกจ “ULTIMATE SPHERES EXPERIENCE” ของคอนเสิร์ต Coldplay Music Of The Spheres World Tour ซึ่งมีราคาสูงถึง 28,300 บาท ซึ่งสิทธิประโยชน์ของแพ็กเกจนี้ประกอบไปด้วย บัตรนั่งสำหรับเข้าชมการแสดง ราคา 7,800 บาท จำนวน 1 ใบ สิทธิ์ในการทัวร์หลังเวที (Once-in-a-lifetime backstage tour) สิทธิ์ในการได้ถ่ายภาพบนเวทีการแสดงโดยช่างภาพมืออาชีพ (ไม่มีศิลปิน) สิทธิ์ในการใช้ช่องทางเข้าวีไอพี ของที่ระลึกพิเศษสำหรับแพ็คเกจ ULTIMATE SPHERES EXPERIENCE ของที่ระลึกที่ออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมจาก COLDPLAY สิทธิ์ในการซื้อของที่ระลึกช่องทางพิเศษ ซึ่งทำให้บัตรคอนเสิร์ตมีราคาแพง

และยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีก เช่น แพ็กเกจ VVIP ราคา 16,000 บาท ของคอนเสิร์ต ZHANGZHEHAN 2023 CONCERT PRIMORDIAL THEATER หรือบัตรยืนโซนหน้าราคา 15,500 บาท ของ Post Malone: If Y’all Weren’t Here, I’d Be Crying Tour ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแฟนคลับตัวยงพร้อมที่จะจ่ายเพื่อประสบการณ์ที่พิเศษที่สุด 

และลองมาคำนวณเล่นๆ ว่า หากตั้งใจจะไปดูคอนเสิร์ตทุกงานที่เกิดขึ้น ที่จัดตลอด 2 ปี ระหว่าง 2023-2024 (และหากวันไหนชนกัน จะเลือกไปเพียงงานเดียว) จะต้องเสียเงินเท่าไหร่? จากการคำนวณพบว่าหากเลือกซื้อบัตรในราคาสูงสุด (VVIP) ของทุกคอนเสิร์ต ทุกงาน ตลอด 301 งานนั้น พบว่าต้องมีงบประมาณสำหรับค่าบัตรเพียงอย่างเดียคือ 1,770,051 บาท

และในทางกลับกัน หากเป็นสายประหยัดที่ขอแค่ได้เข้าสัมผัสบรรยากาศ และเลือกซื้อบัตรในราคาต่ำสุดของทุกงาน ยอดรวมค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 547,748 บาท  สรุปคือ เพื่อที่จะได้ไปดูคอนเสิร์ตทั้งหมด 301 งานตลอดทั้ง 2 ปี ต้องมีงบประมาณอย่างน้อยครึ่งล้านบาท สำหรับบัตรถูกสุด และถ้าอยากเป็น King of VIP ของงาน ก็จำเป็นต้องใช้งบกว่า 1.8 ล้านบาทเลยทีเดียว

กลยุทธ์ขายบัตร VIP แบบใหม่: เมื่อเบเนฟิตกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการขาย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายบัตรคอนเสิร์ต นอกจากจะได้ไปชมคอนเสิร์ตจริงๆ แล้ว ยังมาพร้อมกลยุทธ์จูงใจอื่นๆ การขายบัตรราคาแพงมักมาพร้อมกับสิทธิพิเศษ ซึ่งพบว่านี่เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์หลักเลยทีเดียว

จากการสำรวจ งานที่ขายบัตรราคา 6,500 บาทขึ้นไป จำนวน 130 งาน ในปี 2023-2024 พบว่ามีเพียง 17 งานเท่านั้นที่ขายบัตรโดยไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ เช่น คอนเสิร์ต JJ LIN (บัตรสูงสุด ราคา 11,000 บาท) Jay Chou (บัตรสูงสุด ราคา 9,988 บาท) Westlife (บัตรสูงสุด ราคา 6,500 บาท) The 1975 (บัตรสูงสุด ราคา 6,500 บาท) ขณะที่อีก 113 งาน หรือคิดเป็น 86.9% ของกลุ่มบัตรราคาสูง เลือกใช้กลยุทธ์การขายแพ็กเกจที่พ่วงสิทธิพิเศษมาด้วย

เหตุผลสำคัญคือการจูงใจให้ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น เพราะสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่ตั๋วคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากบัตรทั่วไป กลยุทธ์นี้ขยายไปถึงงานเทศกาลดนตรี (Festival) ซึ่งมักชูจุดขายด้านความสะดวกสบาย เช่น ห้องน้ำโซนพิเศษ ไม่ต้องรอคิว, ทางเข้าพิเศษ (Fast Lane) หรือบาร์เครื่องดื่มเฉพาะผู้ถือบัตร VIP 

และเมื่อวิเคราะห์สิทธิพิเศษที่พบใน 113 งานนั้น สิทธิประโยชน์ที่ผู้จัดนิยมใช้มากที่สุด และกลายเป็นมาตรฐานของตลาดคอนเสิร์ตไปแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มศิลปิน K-Pop คือสิทธิพิเศษที่เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ ได้แก่ Soundcheck (เข้าชมรอบซ้อม) ซึ่งพบบ่อยที่สุด เช่น คอนเสิร์ต BLACKPINK [BORN PINK] ENCORE กับบัตรราคา 14,800 บาท คอนเสิร์ต NCT DREAM [THE DREAM SHOW 3] กับบัตรราคา 8,700 บาท คอนเสิร์ต Stray Kids “MANIAC” กับบัตรราคา 8,500 บาท และ SEVENTEEN ‘FOLLOW’ กับบัตรราคา 9,900 บาท  

สิทธิประโยชน์อีกอย่างคือการไฮทัช เป็นสิทธิ์ในการได้ใกล้ชิดศิลปินในระยะประชิด มักเกิดหลังจบงาน หรือที่เรียกว่า Hi-Touch / Hi-Bye / Send-off แล้วแต่งาน เช่นงาน (G)I-DLE [iDOL] ด้วยบัตรราคา 6,900 บาท งานของ CHA EUN-WOO 2024 Just One 10 Minute [Mystery Elevator] in Bangkok บัตรราคา 6,500 บาท หรืองาน KIM SEON HO ASIA TOUR IN BANGKOK < ONE, TWO, THREE. SMILE > ด้วยราคา 6,500 บาท

สิทธิ์ในการได้ถ่ายรูปร่วมกับศิลปิน หรือที่เรียกว่า Group Photo ที่มักแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ 10-20 คน ก็เป็นส่วนหนึ่งของแพคเกจที่นิยมมากในงานแฟนมีตติ้ง เช่นงาน LANY – a beautiful blur: the world tour 2024 ด้วยราคา 11,500 บาท งาน GET BACK iKON LIMITED TOUR IN BANGKOK ด้วยราคา 6,900 บาท และงาน Mark Tuan: The Other Side Asia Tour ด้วยราคา 8,500 บาท เป็นต้น

Signed Poster โปสเตอร์/โพลารอยด์พร้อมลายเซ็นก็นับเป็นสิทธิพิเศษที่พบบ่อย ซึ่งมักจะเป็นการสุ่มสำหรับผู้ซื้อบัตรแพงสุด เป็นแรงจูงใจที่สำคัญเช่นกัน เช่นงาน DENTISTE’ Presents: LISA Fan Meetup in Asia 2024 – Bangkok ด้วยราคา 10,000 บาท งาน 2024 BAEKHYUN ASIA TOUR [Lonsdaleite] IN BANGKOK ด้วยราคา 6,800 บาท

สิทธิพิเศษที่กล่าวมานั้นจะเป็นมาตรฐาน แต่ในแต่ละคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้งก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปอีก ขณะที่ศิลปิน K-Pop จะเน้นความใกล้ชิดและประสบการณ์ร่วม ศิลปินตะวันตก มักเน้นความสะดวกสบายและมอบของที่ระลึก อาจจะเป็นของที่ระลึกพิเศษ (Exclusive Merch) เช่น แพ็กเกจ Ultimate Spheres Experience ของคอนเสิร์ต Coldplay Music Of The Spheres World Tour Bangkok ในราคา 28,300 บาทที่ให้สิทธิ์ทัวร์หลังเวทีและประตูพิเศษ หรือคอนเสิร์ต Post Malone: If Y’all Weren’t Here, I’d Be Crying Tour In Bangkok กับแพคเกจบัตรราคา 15,500 บาทที่ให้สิทธิ์เข้าโซนบาร์และเคาน์เตอร์ Merch เฉพาะผู้ถือ VIP

นอกจากนี้ยังมีโอกาสพิเศษอื่นๆ ที่เหนือขึ้นไปอีก เช่น การถ่ายรูปเดี่ยว หรือที่เรียกว่า 1:1 Photo ซึ่งพบในงานของ WOOSUNG WORLD TOUR ‘B4 WE DIE’ COMES TO BANGKOK ในราคา 10,900 บาท หรืองาน ATARASHII GAKKO! World Tour ในราคา 8,500 บาท รวมถึงเบเนฟิตพิเศษอย่างการสุ่ม Morning call จากงานแฟนมีตติ้ง PARK JIHOON WINTER FAN MEETING ‘OPENING’ IN BANGKOK ในราคา 6,800 บาท

นอกจากความใกล้ชิดข้างต้น ยังมีการขายประสบการณ์สุดพิเศษอีกมาก อาทิ งาน Steve Vai Live in Bangkok 2023 กับบัตรราคา 15,420 บาทที่ให้สิทธิ์ทัวร์อุปกรณ์และกีตาร์ Steve Vai ซึ่งมักเจาะกลุ่มแฟนเพลงตัวจริง หรือกรณีพิเศษอย่าง Charlie Puth ที่ขายบัตรคอนเสิร์ต Charlie Puth Presents The “Charlie” Live Experience แพงที่สุดราคา 7,000 บาท แต่หากอยากได้สิทธิพิเศษเพิ่ม ก็จะมีขายเบเนฟิตแยกจากตั๋วคอนเสิร์ต เพื่อให้สิทธิ์ไปฟังเบื้องหลังเพลง และเข้าร่วม Q&A กับศิลปิน รวมถึงการเข้าชมพรมแดง (Red Carpet) ในงาน DENTISTE’ Presents: LISA Fan Meetup in Asia 2024 – Bangkok กับบัตรราคา 10,000 บาท

สิทธิพิเศษยังถูกยกระดับไปถึงของที่ระลึกเฉพาะทางที่ไม่ใช่แค่สินค้าหรือ Merchandise ทั่วไป เช่น งานของ SLASH featuring Myles Kennedy Live in Bangkok กับบัตรราคา 6,800 บาท ที่ระบุว่าจะมอบ Limited Guitar Pick หรืองานของ DEAN with Tabber Live in Thailand ในราคา 6,500 บาทที่ระบุว่าจะเซ็นลายเซ็นบนไอเทมที่แฟนคลับพกมา ซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากการได้โปสเตอร์ที่เซ็นไว้แล้ว 

กลยุทธ์ทางธูรกิจนี้ยังแตกแขนงไปสู่การขายบัตรพร้อมกับแพ็กเกจสายปาร์ตี้และบริการ ที่พบได้มากในงานแบบเฟสติวัล EDM หรือ Hip-Hop ซึ่งเปลี่ยนโมเดลจากการยืนทั่วไป เป็นการขายบัตรที่มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าโต๊ะ VIP แถมแชมเปญ/ลิคเกอร์พรีเมียมจำนวนมาก พร้อมบริการส่วนตัวระดับไอคอนิก เช่นงาน Rolling Loud 2024 ที่ขายบัตรสูงสุด 2,000,000 บาท กับโต๊ะที่นั่งได้ 28 คน หรือ 71,429 บาท/คน หรืออย่างงาน Road To Ultra 2023 ที่ขายบัตรสูงสุด 650,000 บาท ที่เบเนฟิตคือโต๊ะส่วนตัวนั่งได้ 30 คน และแพ็กเกจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก บางงานยังมีการบริการสุดพิเศษพร้อมบัตเลอร์หรือผู้ช่วยส่วนตัว และฟรีโรงแรมอีกหนึ่งคืน อย่างงาน Together Festival 2024 ด้วยโต๊ะ VVIP ราคา 120,000 บาท สำหรับ 2 วัน นั่งได้ 6 คน ตลอดจนแถมมื้ออาหารในงานของ An Evening with SALENA JONES ด้วยราคา 7,000 บาท ที่ให้ชุด Afternoon Tea จากโรงแรมหรู

ประเด็นที่น่าสนใจคือแพ็กเกจ VIP หลายงานระบุ ‘ราคาบัตร’ ที่แท้จริงไว้อย่างชัดเจน ทำให้เราเห็นต้นทุนของสิทธิพิเศษที่เพิ่มเข้ามา ตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ต Coldplay แพ็กเกจ Ultimate Experience ราคา 28,300 บาท ระบุว่า รวมบัตรนั่ง 7,800 บาท นั่นหมายความว่าส่วนต่าง 20,500 บาท คือราคาของเบเนฟิต (เช่น ทัวร์หลังเวที, ของที่ระลึก) ล้วนๆ

เช่นเดียวกับ BRUNO MARS แพ็กเกจ Gold VIP ราคา 11,000 บาท ที่รวมบัตรนั่ง 8,000 บาท และ Conan Gray แพ็กเกจ VIP ราคา 10,000 บาท ที่รวมบัตรนั่ง 4,800 บาท ซึ่งส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาก็คือต้นทุนสำหรับสิทธิพิเศษอย่าง Q&A, Merch และสิทธิ์เข้างานก่อนนั่นเอง

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนการปรับตัวของผู้จัดได้ชัดเจนที่สุด คือวิวัฒนาการของกลยุทธ์ในธุรกิจแฟนคลับ แม้แต่ในศิลปินที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้วก็ยังหันมาเพิ่มสิทธิพิเศษให้แฟนคลับ เช่น ในปี 2023 คอนเสิร์ต NCT DREAM ‘THE DREAM SHOW2’ มีราคาบัตรสูงสุด 6,500 บาท โดยไม่มีแพ็กเกจเบเนฟิตเพิ่ม แต่ในปี 2024 คอนเสิร์ต NCT DREAM ‘THE DREAM SHOW 3‘ มีการปรับกลยุทธ์ โดยตั้งราคาบัตร VIP ไว้ที่ 8,700 บาท และเพิ่มสิทธิพิเศษ (Soundcheck, VIP lane, Postcard set ฯลฯ) เข้ามา

ปรากฏการณ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณากรณีของวงในตำนานอย่าง Super Junior ซึ่งจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ณ อิมแพค อารีน่า มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2008 ได้แก่ SUPER SHOW 1 และมักจะขายบัตรหมดเกลี้ยงจนต้องเพิ่มรอบการแสดงอยู่เสมอ

แม้จะเป็นวงที่ขายโชว์ได้โดยไม่ต้องพึ่งสิทธิพิเศษ แต่กลยุทธ์ในปี 2024 ของ Super Junior ก็แสดงให้เห็นการปรับตัวที่ซับซ้อนและน่าสนใจ เช่น ในคอนเสิร์ต 2024 SUPER JUNIOR< SUPER SHOW SPIN – OFF: Halftime > in Bangkok ราคาบัตรสูงสุด 6,500 บาท ไม่มีสิทธิพิเศษเพิ่มใดๆ แต่ในคอนเสิร์ตของยูนิตย่อยอย่าง SUPER JUNIOR-L.S.S. THE SHOW: Th3ee Guys in BANGKOK ที่ตั้งราคาบัตรสูงสุดไว้ที่ 6,500 บาท ได้เพิ่มเบเนฟิตแบบสุ่มลุ้น Group Photo และ Send Off เข้ามาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ต่อมาในคอนเสิร์ตใหญ่อย่าง SUPER SHOW 10 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือสิทธิพิเศษแบบขั้นบันได อย่างเช่น บัตร VIP ราคา 6,800 และ 6,500 บาท การันตีได้สิทธิ์ในการเข้าชม Soundcheck ส่วนบัตรราคารองลงมาอย่าง 5,900 และ 4,900 บาท ก็จะได่สุ่มผู้โชคดีเพื่อเข้าร่วม Soundcheck ด้วย

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า แม้แต่ศิลปินที่เคยขายบัตรหมดเกลี้ยงได้โดยไม่มีเบเนฟิต ก็ยังต้องปรับตัวตามกลไกตลาด และหันมาใช้กลยุทธ์แพ็กเกจ VIP ที่ไม่เพียงเพื่อสร้างความพิเศษให้กับแฟนๆ ในคอนเสิร์ตครั้งถัดไปเท่านั้น แต่ยังสร้างความคุ้มค่าที่แตกต่างกันให้กับบัตรในแต่ละระดับราคาด้วย 

กลยุทธ์การตั้งราคาที่หลากหลายนี้ยังเห็นได้ชัดเจนจากคอนเสิร์ตระดับสเตเดียม เช่น Ed Sheeran ‘+ – = ÷ x’ Mathematics Tour ที่มีราคาตั้งแต่ 1,800 ถึง 12,000 บาท หรือ BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] BANGKOK ENCORE ที่มีช่วงราคาตั้งแต่ 2,800 ถึง 14,800 บาท มีระดับราคาถึง 8 ระดับ ซึ่งการมีโซนราคาหลายหลายช่วยให้เข้าถึงแฟนคลับได้ทุกกลุ่ม 

และหากมองไปถึงกลยุทธ์การตั้งราคาบัตรคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในไทยช่วงปี 2023-2024 จากข้อมูลก็สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ระบบราคาหลายระดับ (Multi-tiered Pricing) ให้แฟนคลับหลายกลุ่มได้มีโอกาสจับจ่ายใช้สอยในราคาที่เงินในกระเป๋าจับต้องได้ ตั้งแต่ผู้ที่ต้องการเพียงสัมผัสบรรยากาศไปจนถึงผู้ที่ต้องการประสบการณ์ที่ดีที่สุด ภาพรวมของตลาดจึงมีช่วงราคาที่กว้างอย่างยิ่ง 

ศิลปินตะวันตกระดับ A-List อย่าง Coldplay Ed Sheeran Bruno Mars ที่สามารถจัดคอนเสิร์ตในสเกลสเตเดียมได้ จะมีราคาบัตรเริ่มต้นและราคาบัตร VIP ที่สูงที่สุดในตลาด ส่วนศิลปิน K-Pop บัตรมีราคาสูงแต่มาพร้อมแพ็กเกจ VIP แม้ส่วนใหญ่จะจัดในสเกลอารีน่าที่ขนาดใหญ่รองลงมา แต่มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นและมีกำลังซื้อสูง ผู้จัดจึงนิยมตั้งราคาบัตร VIP ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น สิทธิ์ Soundcheck และ Send-Off ในราคาสูง ซึ่งเป็นกลยุทธ์มาตรฐานของวงการ ส่วนศิลปินเอเชียอื่นๆ ราคาจะเข้าถึงง่ายกว่า ส่วนใหญ่มักจัดในฮอลล์ขนาดกลางถึงเล็ก ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและสามารถตั้งราคาที่เข้าถึงง่าย ตั้งแต่บัตรที่เข้าถึงง่ายที่สุดในราคาเพียง 300 บาท ของงาน Dekmantel Soundsystem ไปจนถึงแพ็กเกจระดับพรีเมียมอย่าง Ultimate Spheres Experience ของคอนเสิร์ต Coldplay ที่มีราคาสูงสุดถึง 28,300 บาท โดยส่วนต่างของราคาภายในคอนเสิร์ตเดียวอาจสูงถึง 26,500 บาท และมีส่วนต่างโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,100 บาทต่อหนึ่งงาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้จัดใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ตำแหน่งที่นั่ง สินค้าที่ระลึก หรือสิทธิ์ชมรอบซ้อม มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบัตรแต่ละประเภทอย่างชัดเจน

และเมื่อเปรียบเทียบราคาบัตรโดยเฉลี่ย พบว่าศิลปินตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมีราคาบัตรเฉลี่ยโดยรวมสูงกว่าศิลปิน K-Pop เล็กน้อย โดยศิลปินตะวันตกราคาเริ่มต้นอาจจะไม่สูงมากนัก แต่หากเป็นศิลปินเบอร์ใหญ่ มีชื่อเสียงในวงกว้างอย่าง Coldplay, Ed Sheeran, Bruno Mars มักจัดคอนเสิร์ตในสนามราชมังคลากีฬาสถานซึ่งมีแพ็กเกจ VIP ที่ราคาสูงมาก ตั้งแต่ 20,000-28,000 บาท ส่วนศิลปิน K-Pop นั้นตั้งราคาบัตร VIP ในระดับอารีน่าได้สูง 8,500 – 9,900 บาท แต่เนื่องจากสเกลสถานที่จัดงานส่วนใหญ่เล็กกว่าสเตเดียม เมื่อคิดค่าเฉลี่ยออกมาแล้ว ทำให้เพดานราคายังไม่เท่าศิลปินตะวันตกเบอร์ใหญ่ที่สุด

แล้วประเทศอื่นขายบัตรคอนเสิร์ตกันยังไงบ้าง?

ในส่วนของระบบการขายและโครงสร้างราคาบัตรคอนเสิร์ตนั้น ปัจจุบันตลาดคอนเสิร์ตในไทย ใช้การตั้งราคา ที่ชื่อเรียกไม่ได้ไพเราะนักอย่าง Price Discrimination หรือแปลเป็นไทยว่าการเลือกปฏิบัติด้านราคา ที่จำหน่ายบัตรในราคาที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโซนที่นั่งหรือสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ โดยอ้างอิงจากความพอใจที่จะจ่าย (Willingness to Pay) ของผู้บริโภคในแต่ละโซน

โครงสร้างราคาแบบนี้ แม้บัตรจะมีราคาหน้าตั๋วที่ตายตัว แต่เมื่อความต้องการสูงกว่าจำนวนบัตรที่มีจำหน่าย จะเปิดช่องให้เกิดการนำบัตรไปจำหน่ายต่อเพื่อเก็งกำไร หรือที่เรียกว่าร้านรับกดบัตร ซึ่งนำบัตรมาขายต่อในราคาที่สูงกว่าราคาปกติหลายเท่าตัว

นอกจากนี้ยังพบปัญหา เช่น การแข่งกันกดบัครคอนเสิร์ต  ซึ่งไม่เพียงแข่งขันกันระหว่าง คน เท่านั้น แต่ยังรวมถึง บอท และผู้ค้ารีเซลล์ 

การแข่งขันมีความยากเพราะมีบอทกดบัตรที่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แย่งชิงบัตรในเสี้ยววินาที แฟนคลับจำนวนมากที่พลาดโอกาสในการซื้อบัตรในราคาปกติจึงต้องหันไปซื้อบัตร Resell ในราคาที่สูงกว่าหลายเท่าตัวจากผู้ค้าคนกลาง ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ 

เคยมีเคสตัวอย่างการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่ให้การใช้แคปต์ชา (CAPTCHA) เพื่อยืนยันว่าเป็นมนุษย์กดไม่ใช่บอท ตลอดจนเพิ่มการใช้คำถามแบบสุ่ม เพื่อคัดแยกคนกับบอท อาทิ คอนเสิร์ตของ BABYMONSTER 1st WORLD TOUR ที่มีคำถามว่า ในเพลง DRIP นั้นคำว่า DRIP ทั้งหมดกี่ครั้ง ซึ่งแม้ว่าวิธีนี้จะช่วยยืนยันว่ามนุษย์เป็นผู้กดบัตรจริง แต่ก็มีเสียงร้องเรียนจำนวนมากว่าคำถามยากเกินไป และไม่เหมาะสมกับเวลาเร่งรีบแย่งชิงบัตร ภายหลัง ชิกิต้า สมาชิกวง BABYMONSTER ก็มายืนยันด้วยว่าแม้ตนจะเป็นนักร้องเจ้าของเพลง แต่ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน 

ขณะเดียวกัน ระบบการขายบัตรในต่างประเทศก็มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างที่ สหรัฐอเมริกา มีระบบที่เรียกว่า ราคาแปรผันตามความต้องการ (Dynamic Pricing) โดยผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่อย่าง Ticketmaster เริ่มใช้ระบบดังกล่าวกำหนดราคาตามความต้องการของตลาดแบบเรียลไทม์ หลักการทำงานคล้ายกับการจองตั๋วเครื่องบินหรือโรงแรม คือหากคอนเสิร์ตไหนมีความต้องการสูง ราคาบัตรจะปรับตัวสูงขึ้น และหากความต้องการน้อย ราคาอาจปรับลดลงเพื่อกระตุ้นยอดขาย ข้อดีของระบบนี้คือ ช่วยลดปัญหาการรีเซลล์เพื่อเก็งกำไร เพราะราคาหน้าตั๋วจะสะท้อนมูลค่าตลาดที่แท้จริง และทำให้รายได้ส่วนเพิ่มกลับสู่ศิลปินและผู้จัดโดยตรง แทนที่จะตกไปอยู่ในมือของผู้ค้าบัตร

ส่วนประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่น มีระบบการขายบัตรแบบสุ่ม ที่เรียกว่าระบบลอตเตอรี่ (Lottery System) ซึ่งเป็นระบบการขายบัตรที่มีเอกลักษณ์มาก เนื่องจากสิทธิ์ซื้อบัตรไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการกด แต่ขึ้นอยู่กับ ดวงแฟนคลับล้วนๆ จะต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการสุ่ม หากเป็นผู้โชคดี จะได้รับสิทธิ์ในการชำระเงินเพื่อซื้อบัตรในราคาปกติ ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงบัตร และลดปัญหาเซิร์ฟเวอร์ล่มจากการที่มีผู้ใช้งานเข้ามาแย่งกันซื้อบัตรในเวลาเดียวกัน

บัตรยืน vs. บัตรนั่ง: ไปบัตรไหนคุ้มกว่ากัน ความใกล้ชิดที่มาพร้อมราคา

จากการสำรวจพบว่า คอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในไทยมีการจำหน่ายบัตรหลายประเภท ทั้งบัตรยืนและบัตรนั่ง เมื่อพิจารณาเฉพาะของบัตรนั่งอย่างเดียว จะพบว่าบัตรนั่งมีช่วงราคาที่กว้างที่สุด ตั้งแต่ต่ำสุด คือราคา 900 – 1,800 โดยราคาเหล่านี้จะเป็นที่นั่งประเภทที่นั่งมุมอับ หรือชั้นบนสุดของสเตเดียม ซึ่งมักจะเป็นที่นั่งโซนไกลบนชั้นสูงสุดหรือโซนที่มีมุมมองจำกัดในสนามกีฬา ดังเช่นในคอนเสิร์ตของคอนเสิร์ตของ Tommy Emmanuel (900 บาท) หรือคอนเสิร์ต BLACKPINK และคอนเสิร์ต Ed Sheeran 

ส่วนบัตรที่นั่งที่ดีที่สุดติดเวทีซึ่งมีราคาสูงถึง 12,000 – 16,000 บาท ดังเช่นในคอนเสิร์ตของ Ed Sheeran (12,000 บาท) หรือแพ็กเกจ VVIP ของ ZHANGZHEHAN (16,000 บาท) และในกรณีพิเศษอย่างแพ็กเกจ Ultimate Spheres Experience ของคอนเสิร์ต Coldplay ราคาบัตรที่นั่งอาจพุ่งสูงไปถึง 28,300 บาท เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์และของที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

นอกจากนี้ในส่วนของบัตรยืน หรือที่เรียกกันในหมู่แฟนคลับว่าบัตรหลุม ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงของแฟนเพลงที่อยากใกล้ชิดศิลปิน พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,625 บาท โดยมีราคาสูงที่สุดคือบัตรยืนโซนหน้าราคา 14,000 บาท ของคอนเสิร์ต Post Malone และราคาต่ำสุดที่เข้าถึงง่ายที่สุดอยู่ที่ 300 บาท ในคอนเสิร์ต The Noname Live in Overstay (2023) ซึ่งจัดในเวทีระดับคลับเฮาส์ กลยุทธ์การตั้งราคาบัตรยืนเองก็มีความหลากหลายเช่นกัน ในคอนเสิร์ตสเกลใหญ่อย่าง HARRY STYLES PRESENTS LOVE ON TOUR 2023 มีการแบ่งโซนยืนเป็นหลายระดับราคาตั้งแต่ 3,500 ถึง 8,500 บาท หรือในคอนเสิร์ตของ Mark Tuan ที่แบ่งเป็นโซน VVIP Standing และ VIP Standing นอกจากนี้ ศิลปิน K-Pop ยังนิยมนำบัตรยืนไปรวมกับสิทธิประโยชน์เพื่ออัปเกรดเป็นแพ็กเกจ VIP เช่นในคอนเสิร์ต SUGA | Agust D TOUR ‘D-DAY’ ที่มี VIP Package สำหรับบัตรยืนโดยเฉพาะ ในขณะที่คอนเสิร์ตของศิลปินทางเลือกอย่าง CONAN GRAY ก็มีบัตรยืนเริ่มต้นที่ 1,500 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนเพลงในวงกว้าง

ปัจจัยสำคัญที่กำหนดโครงสร้างราคานี้คือสัญชาติและขนาดของศิลปิน โดยศิลปินตะวันตก อย่าง Coldplay Ed Sheeran และ Bruno Mars มักจะมีราคาบัตรเฉลี่ยสูงสุด เนื่องจากเป็นศิลปินระดับโลกที่จัดคอนเสิร์ตสเกลสเตเดียมซึ่งมีต้นทุนการผลิตมหาศาล รองลงมาคือศิลปินเกาหลี ที่แม้จะจัดในสเกลอารีน่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งและมีกำลังซื้อสูง ทำให้สามารถตั้งราคาบัตร VIP พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในราคาสูงได้ ในขณะที่ศิลปินเอเชียอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่นและจีน มักจัดในฮอลล์ขนาดกลางถึงเล็ก ทำให้สามารถตั้งราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าเพื่อดึงดูดแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี

หมายเหตุ: เกณฑ์การนับราคาบัตรยืน (บัตรหลุม) พิจารณาจากกราคาบัตรที่มีคำว่ายืน หรือ Standing กำกับไว้อย่างชัดเจน เช่น บัตรยืน 6,800, 5,500 (Standing), All Standing เป็นต้น

บัตรดอย: ดอยที่ไหนแพงที่สุด

นอกจากบัตรนั่ง บัตรหลุมแล้ว หากเจาะลึกส่วนของบัตรดอย ซึ่งก็คือบัตรนั่งที่อยู่ไกลจากเวทีที่สุดและมีราคาถูกที่สุดในคอนเสิร์ตนั้นๆ ราคาของบัตรดอยก็แตกต่างกันไปตามสถานที่ พบว่าบัตรดอยที่แพงที่สุดไม่ได้มาจากคอนเสิร์ตในสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุด แต่พบในคอนเสิร์ต An evening with Ed Sheeran brought to you by AEG Presents and UOB ของ Ed Sheeran ซึ่งจัดที่ UOB LIVE ราคาบัตรดอยอยู่ที่ 4,800 บาท ตามมาด้วยบัตรดอยราคา 4,500 บาทของคอนเสิร์ต JJ LIN “JJ20” WORLD TOUR ที่อิมแพ็ค อารีน่า และ 3,988 บาท ของคอนเสิร์ต Jay Chou Carnival World Tour 2023 ที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

หากดูตามสถานที่ บัตรดอยที่อิมแพ็ค อารีน่า ของคอนเสิร์ตใหญ่ๆ เช่น Westlife และ ONE REPUBLIC มีราคาเริ่มต้นที่ 1,500 บาท ส่วนคอนเสิร์ต K-Pop ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 2,000 – 2,500 บาท ขณะที่บัตรดอยในสนามเปิดอย่างสนามราชมังคลากีฬาสถาน ของศิลปินระดับโลกอย่าง Ed Sheeran และ Coldplay มีราคาเริ่มต้นที่ 1,800 บาท ส่วนของ Harry Styles เริ่มต้นที่ 1,500 บาท

อาจกล่าวได้ว่าบัตรดอย หรือก็คือบัตรเริ่มต้นที่ถูกที่สุดของคอนเสิร์ต ก็ถือเป็นมาตรวัดของตลาดได้เหมือนกัน ซึ่งราคาเริ่มต้นนี้จะแตกต่างมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของศิลปินและประเภทของสถานที่ในการจัดงานด้วย

*หมายเหตุ: การวิเคราะห์ราคาบัตรที่ถูกที่สุด (บัตรดอย) คัดเลือกเฉพาะคอนเสิร์ตที่มีการจำหน่ายบัตร หลายระดับราคา (Multi-tiered Pricing) เพื่อให้สามารถระบุบัตรที่มีราคาต่ำสุดได้อย่างชัดเจน และจะไม่นับรวมคอนเสิร์ตที่มีการจำหน่ายบัตรราคาเดียว (Flat Rate) หรือคอนเสิร์ตที่มีแต่บัตรยืน (All Standing) เท่านั้น เนื่องจากบัตรดอย โดยนิยามแล้วคือบัตรประเภทนั่ง และงานเทศกาลดนตรีที่มีการจำหน่ายบัตรแบบหลายวัน (Multi-day Pass) แต่ไม่มีการแบ่งโซนราคาที่ชัดเจนสำหรับบัตร 1 วัน จะไม่ถูกนำมาพิจารณาในส่วนนี้ด้วย

เจาะมูลค่าทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต: เม็ดเงินสะพัดกว่า 7,000 ล้านบาทจากยอดขายบัตร

อุตสาหกรรมคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งนับเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยมีการประเมินว่า ในปี 2025 ธุรกิจอีเวนต์โดยรวมจะกลับมาเติบโตแซงยุคก่อนโควิด-19 โดยมีแรงหนุนหลักจากการจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้ง โดยเฉพาะกระแสเค-ป๊อป ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินในธุรกิจนี้กว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ก็ระบุว่าหนึ่งในนโยบายของภาครัฐ คือการผลักดันประเทศไทยให้เป็นเมืองเฟสติวัล จัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี  

ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการสำรวจครั้งนี้อย่างยิ่ง หากลองประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจเบื้องต้นเฉพาะยอดขายบัตร ของคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้ง 526 งาน ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2023-2024 ก็จะพบว่าอุตสาหกรรมนี้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล โดยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมสูงถึง 14,512.02 ล้านบาท ปี 2023 (242 งาน) สร้างมูลค่าประมาณ 7,225 ล้านบาท และปี 2024 (284 งาน) สร้างมูลค่าประมาณ 7,287 ล้านบาทซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ เช่น การเดินทาง ที่พัก หรือการซื้อสินค้าของที่ระลึก 

หมายเหตุ: เป็นการคำนวณมูลค่าโดยประมาณ เพื่อแสดงขนาดทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยคำนวณจาก (ค่าเฉลี่ยบัตร x จำนวนที่นั่ง (ความจุ) x จำนวนวันที่จัดงาน) ของแต่ละงาน และยังไม่นับรวมการใช้จ่ายอื่นๆ เช่น การซื้อสินค้าที่ระลึก, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก และค่าอาหาร

หากลองคำนวณคอนเสิร์ตระดับสเตเดียม อย่างคอนเสิร์ต Ed Sheeran ‘+ – = ÷ x’ Mathematics Tour Bangkok 2024 ซึ่งจัดที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน มีความจุประมาณ 50,000 ที่นั่ง โดยลองคำนวณจากราคาบัตรเฉลี่ย 5,475 บาท ก็อาจคิดเป็นมูลค่าราวๆ 272.23 ล้านบาท ต่อหนึ่งรอบการแสดง

หรือต่อมาลองคำนวณคอนเสิร์ตระดับอารีน่าบ้าง กับคอนเสิร์ต NCT DREAM TOUR ‘THE DREAM SHOW2: In A DREAM’ in BANGKOK ซึ่งจัดในอิมแพ็ค อารีน่า มีความจุประมาณ 12,000 ที่นั่ง และคำนวณด้วยราคาบัตรเฉลี่ย 4,514 บาท หากบัตรขายเกลี้ยง ในคอนเสิร์ตดังกล่าวก็จะมีมูลค่าราวๆ 54.17 ล้านบาท

หรือคอนเสิร์ตของหวังเฮ่อตี้ อย่างงาน 2024-2025 Dylan Wang D.PARTY CONCERT IN BANGKOK ที่ขายบัตรราวๆ 12,000 ที่นั่งจนหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่วินาทีหลังเปิดขาย ราคาบัตรเฉลี่ยคือ 7,880 บาท ตัดคอนเสิร์ต 1 รอบ จะมีเงินหมุนเวียนราวๆ 94.56 ล้านบาท 

แฟนมีตติ้งของหลัวอวิ๋นซี กับงาน China-Thailand Friendship Culture Exchange “Special Live Show with Luo Yunxi” ซึ่งเปิดขายบัตรทั้งแพลตฟอร์มไทยและแพลตฟอร์มจีน สถานที่จัดคืออิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 6 ความจุประมาณ 4,400 ที่นั่ง ราคาบัตรเฉลี่ยคือ 5,600 บาท หากคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากราคาบัตรที่เปิดขายก็จะพบว่ามีมูลค่าราวๆ 24.64 ล้านบาท และถึงแม้งานแฟนมีตติ้งของหลัวอวิ๋นซีจัดในฮอลล์ที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ด้วยการตั้งราคาบัตรเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง ก็ยังสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เกือบ 25 ล้านบาท สะท้อนว่ารูปแบบงานแฟนมีตติ้งก็สามารถทำรายได้สูงไม่แพ้คอนเสิร์ตขนาดกลาง

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลที่เกิดจากยอดขายบัตรเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วมูลค่าทางเศรษฐกิจอาจจะสูงกว่านั้นมากโดยการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ขนาดใหญ่ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE: Meetings, Incentives, Conventions, and Exhibitions) ซึ่งรวมถึงเมกะอีเวนต์และคอนเสิร์ต โดยอุตสาหกรรมนี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพด้วย 

ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) ชี้ว่าอุตสาหกรรมไมซ์เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยในปี 2024 ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้ดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแค่มูลค่าบัตรคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่เม็ดเงินเหล่านี้ยังจะกระจายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สายการบิน โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร การคมนาคมขนส่ง แหล่งช้อปปิ้ง และการจ้างงานในท้องถิ่นด้วย 

ซึ่งวิธีการคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจขององค์กรที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ มาจากการรวบรวมและประเมินตัวเลขสำคัญหลายมิติ ได้แก่ GDP ที่เพิ่มขึ้น (มูลค่าเพิ่ม), รายจ่ายรวมของกิจกรรม (Spending), การสร้างงาน (Job Creation), และ รายได้/ภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยองค์กรที่เกี่ยวข้อง ในไทยก็จะมีสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. (TCEB) เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและส่งเสริมการตลาดไมซ์ของไทย และเป็นผู้รวบรวมสถิติอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยไว้

และหากเราลองคำนวณเล่นๆ ยกตัวอย่าง หากคำนวณค่าใช้จ่าย #ติ่งอิมแพ็ค 1 วัน กำเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ? หากลองคำนวณค่าใช้จ่ายของแฟนคลับหนึ่งคนสำหรับการไปชมคอนเสิร์ตที่อิมแพ็ค อารีน่าตลอดทั้งวัน โดยมีจุดเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อไปชมคอนเสิร์ตของวง IVE จะพบว่าค่าใช้จ่ายหลักเริ่มต้นที่ราคาบัตรเฉลี่ยประมาณ 5,257 บาท เมื่อรวมกับค่าเดินทางจากจุดตั้งต้นที่ขาไป มักเลือกใช้บริการรถตู้ซึ่งสะดวกและรวดเร็วจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 40 บาท จากนั้นบวกกับค่าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างรอเข้าชมคอนเสิร์ต ประมาณการว่าอาจอยู่ที่ประมาณ 250 บาท  และสุดท้ายคือค่าเดินทางขากลับ ซึ่งหลังคอนเสิร์ตเลิกดึก การใช้บริการแท็กซี่เป็นทางเลือกที่สะดวกที่สุด อาจมีค่าใช้จ่ายราว 350 บาท ทำให้ค่าเดินทางรวมตลอดวันอยู่ที่ประมาณ 390 บาท รวมทั้งวันจะอยู่ที่ 640 บาท

และเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าเดินทาง และค่าอาหาร จะพบว่าแฟนคลับหนึ่งคนต้องใช้งบประมาณราวๆ 5,897 บาท หรือควรเตรียมเงินไว้อย่างน้อย 6,000 บาท สำหรับหนึ่งวัน และหากประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของคอนเสิร์ต IVE หนึ่งรอบการแสดงที่อิมแพ็ค อารีน่า ซึ่งมีผู้ชมเต็มความจุ 12,000 ที่นั่ง จะพบว่าสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนโดยตรงได้อย่างมหาศาล โดยเริ่มต้นจากยอดขายบัตรคอนเสิร์ต ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 63 ล้านบาท (คำนวณจากราคาบัตรเฉลี่ย 5,257 บาท) 

และหากสมมติให้ผู้ชมทั้ง 12,000 ที่นั่ง มีพฤติกรรมการใช้จ่ายตามที่คำนวณไว้เบื้องต้น ทั้งจากค่าบัตรเฉลี่ย ค่าเดินทาง ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ประเมินไว้อีกราว 640 บาทต่อคน จะเกิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 7.7 ล้านบาท ทำให้มูลค่าเงินหมุนเวียนโดยตรงที่เกิดขึ้นจากคอนเสิร์ตเพียงรอบเดียวมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 70.7 ล้านบาท ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าที่ระลึกหน้าคอนเสิร์ต เช่น แท่งไฟ ของที่ระลึก พวงกุญแจ เหรือเสื้อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายสำคัญที่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกหลายพันบาทเลยทีเดียว

ผู้จัดเจ้าไหนครองตลาดมากที่สุด: Live Nation Tero ยืนหนึ่ง

เมื่อดูข้อมูลของผู้จัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในไทย จากการสำรวจ 526 งาน และหากแยกเป็นรายปี จะพบว่า ปี 2023 และปี 2024 ซึ่งมี 242 งาน และ 284 งาน ตามลำดับ พบผู้จัดจำนวน 211 ราย ซึ่งมีตั้งแต่บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ ผู้จัดอิสระ ไปจนถึงบริษัทจากธุรกิจอื่นที่เข้ามาร่วมจัดงาน สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดคอนเสิร์ตในประเทศไทยเปิดกว้างและมีผู้เล่นหลายราย แต่ทั้งนี้ก็จะพบว่าผู้เล่นรายใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดตอนนี้ คือ Live Nation Tero ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 71 งาน คิดเป็น 13.50% โดยในปี 2023 จัดไป 42 งาน และปี 2024 อีก 29 งาน  ในฐานะบริษัทร่วมทุนระหว่างผู้จัดอันดับหนึ่งของโลกและบริษัทบันเทิงชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน ทำให้มีศักยภาพสูงสุดในการนำเข้าศิลปินระดับโลกทุกสัญชาติ ตั้งแต่สเกลสเตเดียมอย่าง Coldplay, Ed Sheeran ไปจนถึงศิลปิน K-Pop แถวหน้าอย่าง Stray Kids และ TWICE

ตามมาด้วย THE VERY COMPANY 19 งาน แบ่งเป็นปี 2023 จัดไป 13 งาน และปี 2024 อีก 6 งาน โดยเน้นศิลปินอินดี้ตะวันตก เช่น ARCTIC MONKEYS, BRING ME THE HORIZON และ YUNGBLUD รวมถึงศิลปิน K-Indie ที่ได้รับความนิยมอย่าง WAVE TO EARTH (ซึ่งจัดทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่) และยังจัดเทศกาลดนตรีของตัวเองอย่าง VERY FESTIVAL ด้วย

รองลงมาคือ SM True บริษัทเอเจนซี่สัญชาติไทยที่ก่อตั้งผ่านการร่วมทุนระหว่างเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนต์ และทรู ที่เน้นจัดการคอนเสิร์ตศิลปินจากค่าย SM Entertainment โดยเฉพาะ ที่จัดคอนเสิร์ตไป 17 งาน (ปี 2023 มี 7 งาน ปี 2024 มี 10 งาน) และ Loudly Prefer ซึ่งโดดเด่นในสายดนตรีร็อก เมทัล และฮาร์ดคอร์ โดยเน้นจัดในสเกลไลฟ์เฮาส์ ที่จัดไป 17 งานเช่นกัน (ปี 2023 มี 11 งาน, ปี 2024 มี 6 งาน)  ตัวอย่างเช่น Mr. FOX Live House นำเข้าศิลปิน เช่น NECK DEEP, Mayhem, Coldrain และจัดเทศกาลเฉพาะทางอย่าง BANGKOK’S POST และ Brotherhood Brutality

นอกจากนี้ยังมีผู้จัดที่มีบทบาทสำคัญในตลาดเฉพาะทาง ได้แก่ Blueprint Livehouse ซึ่งเป็นกลุ่มไลฟ์เฮาส์ที่ผันตัวเป็นผู้จัดเอง ที่จัดไป 15 งาน (ปี 2023 มี 5 งาน, ปี 2024 มี 10 งาน) Defiance Entertainment ที่เน้นจัดงานสายร็อก รวมถึงเมทัล โดยมีทั้งสิ้น 13 งาน (ปี 2023 มี 8 งาน ปี 2024 มี 5 งาน)  และ Seen Scene Space ที่เน้นจัดงานสายอินดี้และดนตรีทางเลือก มีทั้งสิ้น 13 งาน (ปี 2023 มี 6 งาน ปี 2024 มี 7 งาน)

กลุ่มผู้จัดรายใหญ่อย่าง AVALON LIVE จัดงานไปทั้งสิ้น 12 งาน คิดเป็น 2.28% (ปี 2023 มี 6 งาน, ปี 2024 มี 6 งาน) ผู้จัดรายนี้เองที่เป็นผู้นำสายศิลปินญี่ปุ่น ทั้ง J-Rock และ J-Pop เช่น ONE OK ROCK, RADWIMPS, Fujii Kaze และล่าสุดได้ขยายตลาดสู่ K-Pop ผ่านบริษัทลูกในเครืออย่าง Kira Entertainment ด้วย 

และกรุงเทพ เอ็กซิบิชั่น (BEX) จำนวน 12 งาน คิดเป็น 2.28% (ปี 2023 มี 6 งาน ปี 2024 มี 6 งาน) โดย BEX เป็นบริษัทอีเวนต์ออกาไนเซอร์ในเครือ Workpoint Group ซึ่งเป็นผู้จัดรายสำคัญในสาย K-Pop ที่จัดงานหลากหลายรูปแบบ เช่น คอนเสิร์ตของ ENHYPEN และ IVE 

ตามมาด้วย Have You Heard? บริษัทที่เน้นจัดงานสายอินดี้ รวมถึงดนตรีทางเลือก จำนวน 11 งาน BEAM ซึ่งเน้นจัดงานในกลุ่มไลฟ์เฮาส์จำนวน 10 งาน Witchhunter Production Thailand 9 งาน และ Slamman Booking Asia 8 งาน ที่เน้นจัดงานสายร็อกและเมทัล เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ยังพบการขยายตัวของผู้จัดรายใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น Idea Fact (ไอเดีย แฟค) 2 งาน ทีมผู้จัดภายใต้หน่วยงาน GMM SHOW ในเครือ GMM GRAMMY เข้ามามีบทบาทในการจัดแฟนมีตติ้งและคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี เช่น งานของพัคจินยอง และอกแทคยอน หรือบริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ RS ได้ร่วมกับ BE HEAR NOW KPOP จัดคอนเสิร์ตของ MOONBIN&SANHA (ASTRO) ด้วย

และตลาดนี้ยังมีความน่าสนใจจากการเกิดขึ้นของผู้จัดรายย่อย ผู้จัดหน้าใหม่ หรือบริษัทที่ขยายธุรกิจมาจากแขนงอื่น เช่น Viu (แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง), บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ หรือแม้กระทั่งกลุ่มบริษัททิพยประกันภัยที่ร่วมจัดคอนเสิร์ต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตมีพลวัตและเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่อยู่เสมอ

สมรภูมิรบของแฟนคลับกับสถานที่จัดคอนเสิร์ต: นิยมจัดงานที่ไหน?

สถานที่จัดงาน คือปัจจัยสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในการจัดคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้ง จากข้อมูลรวมตลอดปี 2023-2024 ซึ่งมีการจัดงานในไทยรวม 526 งาน (แบ่งเป็นปี 2023 จำนวน 242 งาน และปี 2024 จำนวน 284 งาน) หากเราลองจำแนกสถานที่ตามลักษณะการใช้งาน จะพบว่าสถานที่ประเภทต่างๆ ถูกใช้งานดังนี้

โลเคชั่นฮิตอันดับ 1 ฮอลล์ในห้าง เดินทางง่าย

สถานที่จัดงานในศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีจำนวน 138 งาน คิดเป็น 26.24% ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากความสะดวกในการเดินทาง กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยฮอลล์อเนกประสงค์หลากหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า สถานที่ที่ถูกใช้งานบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้คือ Union Hall (26 งาน), UOB LIVE (18 งาน) และ KBank Siam Pic-Ganesha Theatre (14 งาน) ตามมาด้วยสถานที่ยอดนิยมอื่นๆ เช่น แจ้งวัฒนะ ฮอลล์ (9 งาน), Royal Paragon Hall (8 งาน), Bcc Hall Central Plaza Ladprao (6 งาน), MCC Hall The Mall Lifestore Bangkapi (6 งาน), SHOW DC, Ultra Arena Hall (6 งาน), เซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์ (6 งาน) และ สามย่าน มิตรทาวน์ ฮอลล์ (6 งาน) ตัวอย่างงานในกลุ่มนี้ เช่น Fujii Kaze and the piano Asia Tour (2023) ที่ KBank Siam Pic-Ganesha งาน 2024 KYUHYUN ASIA TOUR (2024) ที่ MCC Hall The Mall Lifestore Bangkapi ซึ่งจัดในกรุงเทพมหานคร 

ไลฟ์เฮาส์ขนาดเล็ก ก็นิยมไม่แพ้กัน

ฮอลล์ยอดนิยมรองจากฮอลล์ในห้าง พบว่าโดยมากเป็นสถานบันเทิง ไนท์คลับและไลฟ์เฮาส์ มีจำนวน 104 งาน คิดเป็น 19.77% ฮอลล์ในกลุ่มนี้เป็นสถานที่ขนาดเล็กถึงกลาง เน้นการแสดงดนตรีสด สถานที่ที่ถูกใช้งานบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้คือ Mr. FOX Live House (35 งาน), Blueprint Livehouse (21 งาน) และ Decommune (15 งาน) ตามมาด้วย BEAMCUBE (8 งาน), Brownstone (6 งาน), BEAM (4 งาน), SIWILAI RADICAL CLUB (3 งาน), The Rock Pub (3 งาน), BLAQLYTE ROVER (2 งาน) เป็นต้น

ฮอลล์ที่ถูกใช้งานมากที่สุดอย่าง Mr. FOX Live House มีความจุประมาณ 500 คน กทม. เป็นฮอลล์ที่งานส่วนมากจะเน้นเพลงเฮฟวีเมทัล ฮาร์ดคอร์ และพังก์ระดับนานาชาติ  เช่น Arch Enemy (2024), HAKEN (2024), FEAR FACTORY (2024), 40 Anniversary Vader Live (2023), Rotting Christ (2024) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายอย่างงานแฟนมีตติ้ง Hatano Yui & Otsuki Hibiki (2024) ซึ่งด้วยความจุและขนาดฮอลล์ที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้ตั้งราคาบัตรไว้ 1,000 – 20,000 บาท

ขณะที่ Blueprint Livehouse ฮอลล์ที่ถูกใช้งานรองลงมา มีความจุโดยประมาณใกล้เคียงกัน คือความจุ 120-300 คน กทม. โดยมากจะเน้นจัดงานสำหรับวงดนตรีอินดี้และพังก์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากเอเชีย เช่น SCHOOLGIRL BYEBYE จากจีน, Reality Club (2023) และ TEENAGE WRIST (2024) รวมถึงงานรวมวงดนตรีญี่ปุ่นอย่าง FEVER TOURS 2024 โดยบัตรเข้าชมมักมีราคาเข้าถึงง่าย เช่น Anorak จากญี่ปุ่น (2024) โดยมีราคา 500 บาทเป็นราคาเริ่มต้น

สถานที่จัดงานขนาดใหญ่ อย่างสเตเดียมและอารีน่า 

แน่นอนว่าสถานที่ยอดฮิตอันดับที่ 3 ยังคงเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตยอดนิยมอย่างกลุ่ม สนามกีฬาขนาดใหญ่และอารีน่า จำนวน 87 งาน คิดเป็น 16.54% ซึ่งเป็นตัวเลือกหลักสำหรับคอนเสิร์ตระดับโลก สถานที่ในกลุ่มนี้ได้แก่ Thunder Dome (37 งาน) และ Impact Arena (36 งาน) ตามมาด้วยสนามกีฬาขนาดใหญ่อื่นๆ ได้แก่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน (8 งาน) สนามกีฬาแห่งชาติ (สนามศุภชลาศัย) (2 งาน) Thunder Dome Stadium (2 งาน) Indoor Stadium Huamark (1 งาน)  และ Thammasat Stadium (1 งาน)

ตัวอย่างงานที่จัดในกลุ่มนี้ เช่น ที่ Thunder Dome มีความจุ 3,500 คน เคยจัดงาน 2023 (G)I-DLE WORLD TOUR โดยบัตรราคาตั้งไว้ที่ 2,900 – 6,900 บาท และงาน 2024 RIIZE FAN-CON ‘RIIZING DAY” บัตรราคา 2,500 – 5,800 บาท เป็นต้น ส่วนที่ Impact Arena ซึ่งเป็นฮอลล์ที่โดดเด่น มีความจุ 12,000 คน โดยมากล้วนจัดงานของศิลปินที่มีแฟนคลับจำนวนมาก อาทิงาน TAEYEON CONCERT – The ODD Of LOVE (2023) งาน Olivia Rodrigo – GUTS world tour (2024) และที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือสนามราชมังคลากีฬาสถาน ที่มีความจุ 49,722 คน เคยจัดงาน BLACKPINK WORLD TOUR ENCORE  (2023) เป็นต้น

นอกจากนี้สถานที่อื่นๆ รองลงมา ยังพบฮอลล์ กลุ่มโรงมหรสพ โรงละคร และหอประชุมหลัก อย่าง Lido Connect Hall  หรือฮอลล์ประเภท ศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ ที่ถูกใช้งานบ่อยๆ คือ Bitec Bangna Hall เป็นต้น 

สถานที่จัดงานในร่ม ครองตลาดคอนเสิร์ตขาดลอย

เมื่อจำแนกอีกว่า ฮอลล์คอนเสิร์ตที่เคยจัดมานั้น เป็นสถานที่ในร่มหรือกลางแจ้งมากกว่ากัน จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าผู้จัดส่วนใหญ่ในไทยนิยมเลือกฮอลล์คอนเสิร์ตประเภทในร่ม (Indoor) มากกว่า จากข้อมูลทั้งหมด 526 งาน พบว่ามีการจัดงานในร่มสูงถึง 476 งาน คิดเป็น 90.49% เทียบกับงานกลางแจ้ง (Outdoor) ที่มีเพียง 50 งาน หรือ 9.51% เท่านั้น คิดเป็นอัตราส่วนสูงถึงประมาณ 10 ต่อ 1

และหากจำแนกเฉพาะปี จะพบว่าปี 2023 จัดในร่ม 220 งาน กลางแจ้ง 22 งาน ส่วนปี 2024 จัดในร่ม 256 งาน และกลางแจ้ง 28 งาน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่าผู้จัดในประเทศไทยให้ความสำคัญกับการควบคุมสภาพแวดล้อมในการจัดแสดงเป็นอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่แปรปรวนของไทย ทั้งฝนตกและความร้อนจัด ทำให้สถานที่ในร่มเป็นตัวเลือกหลักที่ปลอดภัยและแน่นอนที่สุด 

กล่าวโดยสรุป จะเห็นว่าสถานที่จัดงานกว่า 476 งานเป็นสถานที่ในร่ม (Indoor) โดยกระจุกตัวอยู่ใน 3 กลุ่มหลัก คือ สนามกีฬาในร่ม/อารีน่า, สถานที่จัดงานในศูนย์การค้า และศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้งด้านความจุ การเดินทาง และการควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมหลักด้านความบันเทิงระดับโลก คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ และการแข่งขันกีฬาในร่ม สถานที่เหล่านี้จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ไม่ว่าจะเป็น Impact Arena ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่มและอาคารหลักของอิมแพ็ค เมืองทองธานี และเป็นโถงคอนเสิร์ตที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีความจุ 12,000 ที่นั่ง ฮอลล์ UOB LIVE ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ของ EMSPHERE สามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้ถึง 6,000 ที่นั่ง หรือ Thunder Dome ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่ม (Indoor Stadium) และเป็นโถงคอนเสิร์ตที่ใช้จัดกิจกรรมต่างๆ มีความจุราวๆ 3,500-4,000 คนจึงเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับศิลปิน K-Pop และศิลปินตะวันตกชื่อดัง 

ในทางตรงกันข้าม สถานที่สำหรับจัดงานกลางแจ้ง (Outdoor) ซึ่งมีจำนวน 50 งาน กระจายไปทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะพบในสนามกีฬาขนาดใหญ่เป็นหลัก เพื่อรองรับคอนเสิร์ตที่ต้องการความจุผู้ชมจำนวนมาก เช่น สนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามกีฬาแห่งชาติ (สนามศุภชลาศัย) นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ไลฟ์สไตล์และสวนสาธารณะในเมือง เช่น CHULALONGKORN UNIVERSITY: CENTENARY PARK ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือสถานที่อย่าง Lakeside Muangthong Thani ที่นนทบุรี เป็นต้น

ขณะเดียวกัน สถานที่จัดงานกลางแจ้งในต่างจังหวัด มักจะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เน้นบรรยากาศ กระจายตัวไปในหลายจังหวัด อย่างชลบุรี จะเน้นจัดงานที่พัทยา เป็นที่นิยมสูงสำหรับเทศกาลดนตรีริมชายหาดและรีสอร์ต อย่าง Siam Country Club, LEGEND SIAM  เป็นต้น

กรุงเทพฯ เป็นเมืองคอนเสิร์ต: จริงหรือเค้ก

หลายคนอาจสงสัยว่ากรุงเทพฯ คือศูนย์กลางคอนเสิร์ตของไทยจริงไหม หรือแท้จริงแล้วอาจเป็นนนทบุรี? ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Impact Areana) จากการสำรวจพบว่ามีสถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนนทบุรี  ปทุมธานี รวมกัน 72 แห่ง โดยแบ่งเป็นใน กรุงเทพฯ 60 แห่ง นนทบุรี 9 แห่ง และปทุมธานี 3 แห่ง 

งานคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งยังคงกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2023 มีการจัดงานในกรุงเทพฯ 155 งาน ขณะที่จังหวัดนนทบุรีมี 71 งาน และในปี 2024 กรุงเทพฯ ยิ่งจัดงานหนาแน่นกว่าเดิมที่ 210 งาน ขณะที่นนทบุรีมี 46 งาน เมื่อรวมทั้งสองจังหวัด (กรุงเทพฯ 365 งาน และ นนทบุรี 117 งาน) จะคิดเป็น 91.63% ของพื้นที่จัดงานทั้งหมด

แต่ทั้งนี้ก็ยังขยายครอบคลุมไปถึงพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัดด้วย สำหรับงานที่จัดนอกพื้นที่ศูนย์กลางนี้ (คิดเป็น 8.37%) มักเป็นงานที่ต้องการสถานที่ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะงานประเภทเทศกาลดนตรี (Music Festival) ที่ต้องการพื้นที่กว้าง โล่ง และบรรยากาศแบบเปิด (Outdoor) ซึ่งหาได้ยากในเขตเมืองที่หนาแน่น โดยมักจะจัดที่นครราชสีมา อย่างเขาใหญ่ พบจำนวน 4 งาน เช่น BEATFOREST 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่ Bonanza Khaoyai โดยเป็นเทศกาลที่เน้นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ศิลปะ และดนตรี งาน Mystic Valley 2024 “The Enchanted Forest” ที่ Mountain Creek Golf Resort เขาใหญ่ งาน Lonelipop Music Festival (2023) ที่ลานกิจกรรมเขาใหญ่มาราธอน และ Postgazer 6 (2023) ที่ Mirasierra Khaoyai เป็นต้น

ในเทรนด์นี้ยังพบในจังหวัดอื่นๆ ที่มีพื้นที่ธรรมชาติหรือรีสอร์ตขนาดใหญ่ เช่น พัทยา ชลบุรี (10 งาน) ที่เป็นหมุดหมายของเทศกาลอย่าง Wonderfruit หรือ Rolling Loud Thailand พบที่เชียงใหม่ (11 งาน) ที่จัดงานอย่าง Sai Mok Waterfall พบที่เพชรบูรณ์ (1 งาน) ที่เขาค้อ  หรือนครนายก (1 งาน) ที่ Rabiangprai Valley Resort รวมถึงปทุมธานี (5 งาน), ขอนแก่น (4 งาน) และ ภูเก็ต (4 งาน) ด้วยเช่นกัน

สถานที่จัดคอนเสิร์ตในไทย ปัญหาคือ ฮอลล์ไม่มี หรือฮอลล์ที่มี มันไม่ใช่?

สถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้ง มีตั้งแต่ฮอลล์ขนาดเล็ก อย่าง Lido Connect, KBank Siam Pic-Ganesha, MGI HALL ความจุที่นั่งโดยประมาณ 2,000 ที่นั่ง ฮอลล์ขนาดกลางอย่าง Union Hall, UOB LIVE, Thunder Dome, Royal Paragon Hall, Bitec Bangna Hall ที่มีความจุโดยประมาณ 2,000 – 7,000 ที่นั่ง ไปจนถึงฮอลล์ขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่าระดับอารีน่า (Arena) ที่มีความจุที่นั่งประมาณ 7,000 – 15,000 ที่นั่ง อย่าง Impact Arena (ความจุ 12,000 ที่นั่ง) และ QSNCC Hall (ความจุ 7,776 ที่นั่ง) และขนาดใหญ่ระดับสเตเดียมที่มีความจุ 20,000 ที่นั่ง อย่างราชมังคลากีฬาสถาน (ความจุ 49,722 ที่นั่ง) สนามกีฬาแห่งชาติ (ความจุ 35,000 ทีนั่ง) สนามกีฬาธรรมศาสตร์ (ความจุ 25,000 ที่นั่ง) 

หากลองคำนวณเล่นๆ ว่าถ้าจัดคอนเสิร์ตพร้อมกันในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเต็มทุกแห่งในหนึ่งวัน จำนวนสถานที่ที่จัดงานทั้ง 72 แห่ง จะสามารถรองรับผู้ชมได้สูงถึง 287,777 คน (กรุงเทพฯ 199,627 คน  นนทบุรี 57,500 คน, ปทุมธานี 30,650 คน) ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีสถานที่หลากหลายขนาดเพื่อรองรับศิลปินได้ทุกระดับ ตั้งแต่ฮอลล์ขนาดเล็ก ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ไว้รองรับศิลปินเบอร์ต้นๆ ของโลก 

แต่อย่างไรก็ตาม พบว่า ในเมืองไทยมีสถานที่จัดงานในร่มขนาดใหญ่ที่จุคนได้ในระดับ 10,000 – 15,000 ที่นั่งอยู่น้อยมาก มีแค่  Impact Arena เท่านั้นที่สามารถรองรับจำนวนคนหลักหมื่นได้ ทำให้เกิดการแข่งขันสูงมากในการจองคิว ศิลปินหลายรายต้องลดสเกลงานไปในฮอลล์ขนาดกลางแทน หรือบางครั้งก็ข้ามไปจัดในฮอลล์แบบ Exhibition ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นฮอลล์คอนเสิร์ตตั้งแต่แรก ดังจะเห็นได้จากพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ กล่าวว่า ยอดจองการจัดคอนเสิร์ตใน อิมแพ็ค อารีน่า (Impact Arena) เต็มทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มียอดจองยาวไปถึง 6-9 เดือนข้างหน้า ยาวถึงสิ้นปี 2569 แล้วด้วย งานเยอะจนล้น ต้องไปจัดในฮอลล์ (Hall) หรือเวนู (Venue) อื่นๆ ในอิมแพ็ค เมืองทองธานีแทน

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าฮอลล์ไม่พอ แม้จะมีฮอลล์ไว้รองรับมากมาย หลากหลายขนาด แต่ฮอลล์ขนาดใหญ่ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ยังถือว่ามีน้อยมาก 

อยากเป็นเมืองแห่งคอนเสิร์ต แต่ Pain Point มากมาย

แม้ว่ากรุงเทพฯ จะเป็นศูนย์กลางการจัดคอนเสิร์ตที่สำคัญ แต่เบื้องหลังความสำเร็จยังคงมี Pain Point หรือปัญหาและความท้าทายมากมายที่แฟนคลับต้องเผชิญ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไข หากต้องการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งคอนเสิร์ตระดับโลกอย่างแท้จริง 

ก่อนไปดูปัญหา มาลองสำรวจประเทศรอบข้างอย่างสิงคโปร์ที่ประกาศว่าตนจะเป็นฮับแห่งคอนเสิร์ต ซึ่งเห็นได้จากกรณีคอนเสิร์ต The Eras Tour ของ Taylor Swift ที่สิงคโปร์เป็นจุดหมายเดียวในภูมิภาค เหตุผลหลักๆ ที่สิงคโปร์ทำได้เพราะการท่องเที่ยวแห่งสิงคโปร์ (STB) มีบทบาทอย่างมากในการสร้างความร่วมมือ และมีข้อเสนอที่ดึงดูดให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต

ทั้งนี้ Ross. Knudson หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง LAMC Productions ซึ่งเป็นบริษัทจัดคอนเสิร์ตระดับโลก เคยจัดแสดงคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายร้อยรายการ ไม่ว่าจะเป็น  Crosby, Stills & Nash, Lady Gaga, One Ok Rock, Fifth Harmony เคยให้สัมภาษณ์กับ The Straits Times เกี่ยวกับสาเหตุที่ศิลปินนานาชาติเลือกสิงคโปร์เป็นจุดหมายในการแสดง โดยเน้นไปที่ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ การขนส่ง และความน่าเชื่อถือของตลาด โดยเล่าว่า ที่สิงคโปร์ไม่มีกฎที่เข้มงวดและตายตัวเกี่ยวกับการขนส่งสินค้า หมายความว่าการขนส่งอุปกรณ์จำนวนมากที่มาพร้อมกับการแสดงดนตรีนั้นทำได้ง่ายขึ้น ประกอบกับความมั่นคงทางการเมืองและเสถียรภาพในด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดด้านวีซ่าที่มีประสิทธิภาพและไม่ซับซ้อน 

ยกตัวอย่างเช่น งานของจางเซียะโหย่ว (Jacky Cheung) นักร้องหนึ่งในตำนาน 4 หนุ่มจตุรเทพของวงการเพลงป๊อบในเอเชียตะวันออก ที่เมื่อมีงานหนึ่ง จะมาพร้อมกับคณะผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี บุคลากรฝ่ายบริหาร และทีมเทคนิค รวมเกือบ 200 คน แต่การจัดการต่างๆ ล้วนไม่มีปัญหา ทำให้ทั้งนักท่องเที่ยว ศิลปิน และผู้จัดงานสามารถจัดแสดงในสิงคโปร์ได้ง่าย 

นอกจากนี้ ผู้ร่วมก่อตั้ง LAMC Productions ระบุว่า เคยต้องยกเลิกการแสดงบ่อยครั้งในตลาดรอบข้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมือง อย่างกรณีของคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ในประเทศไทย ที่มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2014 แต่การแสดงถูกยกเลิกหลังมีรัฐประการเกิดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2014 (2557) หรือเหตุการณ์ในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 ที่ทางการมาเลเซียสั่งยกเลิกเทศกาลดนตรี Good Vibes ของวง The 1975 เนื่องจาก Matty Healy นักร้องนำของวง วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายต่อต้าน LGBTQ  ในประเทศมาเลเซีย และยังจูบกับ Ross MacDonald มือเบสของวง ขณะเล่นเพลง I Like America & America Likes Me ด้วย ในทางตรงกันข้าม การแสดงในสิงคโปร์มักจะดำเนินต่อไปได้ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างความน่ามั่นใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของการจัดงาน 

รถติด ต่อรถ เดินไกล ด่านทดสอบความเป็นแฟนคลับตัวจริง

ความท้าทายหลักที่ผู้ชมต้องเผชิญในการไปคอนเสิร์ตในกรุงเทพฯ คือปัญหาด้านการเดินทางและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ (Mega Venues) 

สนามราชมังคลากีฬาสถาน เขตบางกะปิ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด แม้จะเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่จุคนได้มหาศาล กลับมีการใช้งานค่อนข้างน้อยเพียง 6 ครั้ง ในปี 2023-2024 คิดเป็น 2.18% เท่านั้น และแม้สนามกีฬากลางแจ้งจะจุคนได้มหาศาล  แต่ก็มีความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ประกอบกับการเดินทางที่ค่อนข้างยากลำบาก อย่างล่าสุด คอนเสิร์ต 2025 NCT DREAM TOUR <THE DREAM SHOW 4: DREAM THE FUTURE> in BANGKOK เมื่อวันที่ 16 – 17 สิงหาคม 2025 แม้ว่จะเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ แต่ก็มีปัญหาเรื่องการเดินทางที่ยุ่งยาก จนเกิดเป็นวลีไวรัลบนอินเทอร์เน็ตที่แฟนคลับ

ถือป้ายว่า “ถ้าไม่มีน้องดรีมก็ไม่มาหรอกนะที่แบบนี้” เพื่อสะท้อนถึงความยากลำบากในการเดินทางที่ต้องใช้ความพยายามและความรักที่มีต่อศิลปินอย่างสูง 

สนามกลางแจ้งยังต้องเผชิญความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศ ทั้งฝนและความร้อน เช่นเดียวกับการแข่งฟุตบอล อย่างที่เกิดขึ้นกับแมตช์อุ่นเครื่องพิเศษระหว่าง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องยกเลิกเพราะฝนตกหนักจนระบายน้ำไม่ทัน ปัญหาเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมด้วยการจัดการฝูงชนหลังเลิกงานที่อลหม่าน และนำไปสู่ปัญหาการฉวยโอกาสโก่งราคาค่าโดยสาร ดังที่ปรากฏในข่าวปี 2023 ที่มี ผู้ชมเรียก 2 คนรถเรียกวินมอเตอร์ไซตค์ 2 คันเพื่อไปขึ้นแท็กซี่หน้า ม.รามคำแหง แต่โดนเรียกเก็บค่าโดยสารคนละ 780 บาท เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนมีคลิปรีวิวบนแพลตฟอร์ม TikTok ทั้งการเตือนภัย การรีวิวค่าโดยสารในการไปดูคอนเสิร์ต ตลอดจนคลิปสอนเดินทาง

อย่างไรก็ตาม ความหวังในอนาคตสำหรับการเดินทางไปยังราชมังฯ ซึ่งมีเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้เมื่อเปิดให้บริการ

ถัดมาคือกลุ่มอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งรวมถึงอิมแพ็ค อารีน่า และธันเดอร์โดม แม้ในอดีตจะมีปัญหาคลาสสิกเรื่องที่ตั้งที่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ ทำให้คนที่ไปคอนเสิร์ตต้องเจอกับปัญหารถติดบนถนนแจ้งวัฒนะ และพึ่งพารถสาธารณะอย่างรถเมล์ที่มักจะขาดแคลนหลังคอนเสิร์ตเลิกดึก แต่ปัญหาเหล่านี้คลี่คลายลงแล้วหลังเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี ซึ่งให้บริการถึงเที่ยงคืนได้

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาทั้งหมดหายไป เพราะย้ายจากปัญหาบนท้องถนนไปสู่ความท้าทายใหม่ อย่างปัญหาการจัดการหลังคอนเสิร์ตเลิก ที่ผู้ชมจะหลั่งไหลไปยังที่สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี พร้อมๆ กัน ซึ่งทั้งสองสถานี้นี้มีความถี่ในการให้บริการทุก 10 นาที อาจไม่เร็วพอที่จะระบายคนได้อย่างรวดเร็ว และแม้รถไฟฟ้าจะไปถึงแล้ว แต่ด้วยขนาดของพื้นที่อิมแพ็คที่กว้างมาก ผู้ชมก็ยังต้องเดินต่อในระยะหนึ่ง ซึ่งก็ต่างจากฮอลล์คู่แข่งในเมืองที่เดินตรงจากสถานีเข้าไปยังห้างได้เลย ส่วนปัญหาสำหรับผู้ที่ยังเลือกขับรถส่วนตัว และปัญหารถติดบนถนนแจ้งวัฒนะก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่หายไป และสถานการณ์มักจะเลวร้ายทวีคูณเมื่อฝนตก 

ในทางกลับกัน การเกิดขึ้นของกลุ่มฮอลล์ทางเลือกใหม่ในเมือง ที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอย่าง BTS และ MRT ก็กลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญให้กับฮอลล์เหล่านี้ สถานที่ เช่น UOB LIVE (BTS พร้อมพงษ์), Royal Paragon Hall และ KBank Siam Pic-Ganesha (BTS สยาม), Union Hall (MRT พหลโยธิน), Queen Sirikit National Convention Center (MRT ศูนย์ฯ สิริกิติ์) และ TRUE ICON HALL (BTS สายสีทอง) แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องความจุที่ไม่สามารถเทียบเท่าสเตเดียมได้ แต่ความสะดวกสบายในการเดินทางก็กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทั้งผู้จัดและผู้ชมเลือกใช้สถานที่เหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเดินตรงจากสถานีเข้าไปยังฮอลล์ได้เลย

แต่เมื่อหันไปมองที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Stadium) ซึ่งโดยปกติรองรับผู้ชมได้สูงถึง 55,000 คน และสามารถขยายความจุไปถึง 63,000 คนได้ (ดังเช่นในคอนเสิร์ต Taylor Swift, The Eras Tour เมื่อเดือนมีนาคม 2024) กลับสามารถจัดการระบายคนได้อย่างเป็นระบบและไม่วุ่นวาย จนกลายเป็นต้นแบบที่น่าศึกษา 

ความสำเร็จของสิงคโปร์เริ่มต้นจากการวางโครงสร้างที่พร้อมรับมือกับการจัดงาน ซึ่งตัวสนามเป็นแบบ In-Door ที่มีหลังคาเปิด-ปิดได้ (Retractable Roof) ทำให้ปัญหาเรื่องฝนตกหรืออากาศร้อนถูกตัดทิ้งไปโดยสิ้นเชิง และที่สำคัญคือมีสถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับสเตเดียมโดยตรง

นอกจากโครงสร้างที่ดี สิงคโปร์ยังมีกระบวนการจัดการฝูงชน (Crowd Management) ที่เด็ดขาด พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้คนนับหมื่นวิ่งไปอัดกันที่สถานี โดยใช้การปล่อยคนทีละจุด เจ้าหน้าที่จะใช้เชือกกั้นฝูงชนไว้เป็นแนวก่อนถึงทางเข้าสถานี และมีพนักงานที่เรียกว่า Crowd Manager  คอยประเมินสถานการณ์บนชานชาลา เมื่อขบวนรถชุดก่อนหน้าออกไปและมีที่ว่าง จะให้สัญญาณเปิดที่กั้น ให้คนชุดถัดไปเข้าไปได้ วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้สถานีอัดแน่นจนเกิดอันตราย ขณะเดียวกัน ระบบรถไฟฟ้าก็เพิ่มความถี่ในการเดินรถทุกๆ 2 นาที และมีขบวนรถเปล่า (Standby Trains) จอดสแตนด์บายเพื่อให้บริการทันทีที่ต้องการระบายคนเพิ่ม

บทเรียนนี้สะท้อนกลับมายังการจัดการฮอลล์คอนเสิร์ต อย่างฮอลล์ยอดฮิต อิมแพ็ค เมืองทองธานี แม้ทุกวันนี้จะมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูไปถึงแล้ว แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายสำคัญ เนื่องจากความถี่ในการเดินรถทุก 10 นาที ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบที่ยืดหยุ่นของสิงคโปร์ที่มีขบวนรถเปล่าสแตนด์บายรอเสริม ในขณะที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ยังคงติดอยู่ในปัญหาเดิมคือรถไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง และต้องรอคอยการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต

ในจุดนี้ เทคโนโลยีอาจเป็นคำตอบสำคัญสำหรับการจัดการฝูงชนในพื้นที่เปิด โดยมีกรณีศึกษาล่าสุดจากการเตรียมจัดงานกีฬาแห่งชาติ (National Games) ของฮ่องกงในปี 2025 ซึ่งใช้แนวทางที่เทียบเคียงได้กับคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ เครื่องมือแรกคือใช้โดรน โดยไม่ได้นำโดรนมาใช้แค่สอดส่อง แต่ถูกติดตั้งระบบกระจายเสียง (ลำโพง) เพื่อทำหน้าที่สั่งการและให้ข้อมูลแก่ผู้ชมโดยตรง ช่วยประกาศบอกเส้นทางออกและควบคุมการระบายคน และเครื่องมือที่สองคือ เว็บไซต์ Easy Leave ของฮ่องกงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งในเว็บไซต์ก็จะแสดงข้อมูลการเดินทางแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ชมทราบเวลารอคิวและตารางรถที่แน่นอน ทำให้สามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางกลับที่เหมาะสมกับตัวเอง และลดการไปแออัดกันในจุดเดียว

อนาคตสมรภูมิฮอลล์คอนเสิร์ต: การมาถึงของผู้ท้าชิงรายใหม่ อยากเป็น Hub แห่งเอเชีย จะทำได้ไหม

วงการคอนเสิร์ตไทยน่าจะคึกคักยิ่งขึ้นหลังฮอลล์ใหม่เปิดตัวๆ เป็นทางเลือกให้ผู้จัดและผู้ชม ฮอลล์คอนเสิร์ตที่เกิดใหม่อย่าง One Bangkok Forum ซึ่งเปิดตัวเรียบร้อยแล้วในปี 2024 อยู่ในโครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) นับเป็นศูนย์ประชุมและโรงมหรสพอเนกประสงค์ รองรับการจัดกิจกรรม เช่น มหรสพ คอนเสิร์ต และการจัดแสดงสินค้า รองรับได้ถึง 6,000 ที่นั่ง หรือ 10,000 คน 

โครงการในอนาคตอย่าง Bangkok Arena โดย บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของแบงค็อก มอลล์ (Bangkok Mall) บนถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ถูกออกแบบให้เป็น Indoor Arena ฮอลล์ในร่ม ติดแอร์ สามารถจัดได้ทั้งคอนเสิร์ต การแข่งขันกีฬา และอีเวนต์ระดับนานาชาติ มีแผนจะเปิดในปี 2028 โดยตั้งอยู่บนถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ด้วยทำเลที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า BTS สถานีอุดมสุขและบางนา และคาดการณ์ว่า เมื่อสร้างเสร็จจะกลายเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความจุสูงสุดถึง 18,000 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าความจุ 12,000 ที่นั่งของอิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี และสนามกีฬาบางกอกอารีนา

นอกเหนือจากโครงการของภาคเอกชนแล้ว ยังมีแนวคิดในการจัดตั้ง Entertainment Complex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐบาล  ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจรแห่งใหม่ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของโครงการคือการสร้าง Indoor Stadium ขนาดใหญ่ที่มีความจุสูงถึง 50,000 คน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นการยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในการรองรับงานแสดงและคอนเสิร์ตจากศิลปินระดับโลกได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะมีขนาดใหญ่กว่า Bangkok Arena 

การเกิดขึ้นของฮอลล์คอนเสิร์ตแห่งใหม่ โดยเฉพาะที่เดินทางสะดวกและเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชน จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมในหลายมิติ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้จัดและผู้ชมเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการกระจุกตัวของงานในพื้นที่ที่เดินทางลำบาก และยังจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านการบริการด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ Pain Point  เรื้อรังที่ผู้ชมต้องเจอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหารถติดหนัก การขาดแคลนขนส่งมวลชนยามดึก หรือความอลหม่านในการระบายคนหลังจบงานได้อีก

ดูข้อมูลที่ https://rocketmedialab.co/database-concert-2023-2024/

คุณอาจสนใจ